คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยไปแจ้งความต่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานว่าน.ส.3 ก. ของจำเลยและเก็บไว้ที่บ้านสูญหายไป ขอให้ ส.ลงบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเพื่อขอคัดสำเนารายงานดังกล่าวไปขอออก น.ส.3 ก. ส. หลงเชื่อจึงสั่งการให้ ม. เขียนสมุดรายงานประจำวันบันทึกข้อความตามที่จำเลยแจ้ง ทั้ง ๆ ที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ เป็นความผิดฐานแจ้งให้พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน จำเลยนำสำเนาน.ส.3 ก มาแก้ไขโดยการเพิ่มเติม ตัดทอนข้อความและแก้รูปแผนที่ที่ดินให้ผิดไปจากความจริง แล้วจำเลยได้ถ่ายภาพสำเนา น.ส.3 ก. ที่มีการแก้ไขแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจว่าเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยทำขึ้นนั้น เป็นภาพถ่ายสำเนาน.ส.3 ก. ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ ได้ความจากคำเบิกความของ ก. และ ณ. พยานโจทก์ว่าจำเลยนำเอกสารที่จำเลยทำปลอมขึ้นไปแสดงต่อบุคคลทั้งสองเพื่อให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,264, 265, 266, 267, 268, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 267, 268 การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วย มาตรา 265ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกมีว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งให้พนักงานสอบสวนผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารอันแท้จริงว่า เดิมที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 2076 เอกสารหมาย จ.1 เนื้อที่ 3 งาน 52 ตารางวา เป็นของจำเลยวันที่ 12 กรกฎาคม 2522 จำเลยแบ่งขายให้แก่นางสุภาพร วรรณศิลป์เนื้อที่ 1 งาน 28 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ.2 วันที่ 9 พฤษภาคม2524 นางสุภาพรขายที่ดินที่ซื้อจากจำเลยให้แก่ร้อยตำรวจเอกอุดม นพรัตน์ วันที่ 7 ตุลาคม 2523 จำเลยขายที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่นายบรรเทา แก้วกัน และวันที่ 9 พฤษภาคม 2524 นายบรรเทาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ร้อยตำรวจเอกอุดม เมื่อร้อยตำรวจเอกอุดมถึงแก่ความตายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจึงตกเป็นของนางดวงพร นพรัตน์ ภรรยาร้อยตำรวจเอกอุดมในฐานะผู้จัดการมรดกจากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2076ไปหมดแล้วไม่มี น.ส.3 ก. เลขที่ 2076 ที่จะเก็บไว้ที่บ้านจำเลยอีกต่อไป ดังนั้น การที่จำเลยไปแจ้งความต่อพันตำรวจโทสายนันท์จันทรศัพท์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2531ว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 2076 ของจำเลยและเก็บไว้ที่บ้านสูญหายไปขอให้พันตำรวจโทสายนันท์ลงบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเพื่อจะขอคัดสำเนารายงานดังกล่าวไปขอออก น.ส.3 ก. พันตำรวจโทสายนันท์ หลงเชื่อจึงสั่งการให้สิบตำรวจเอกมงคล โอปันเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูนเขียนสมุดรายงานประจำวันบันทึกข้อความตามที่จำเลยแจ้งตามเอกสารหมาย ปจ.1 (ศาลจังหวัดเชียงใหม่) ทั้ง ๆ ที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าข้อความที่แจ้งเป็นความเท็จ หลังจากนั้นจำเลยได้ขอคัดสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวไปปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งให้พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีนายณรงค์เจ้าพนักงานที่ดินเป็นพยานโจทก์ เบิกความว่าจำเลยให้ถ้อยคำต่อพยานว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 2076 และรับรองว่าจำเลยมิได้ทำนิติกรรมหรือมีภาระติดพันอื่นใดเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ตามใบไต่สวนเอกสารหมายจ.6 ซึ่งเป็นเอกสารราชการ และให้ถ้อยคำว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 2076เก็บไว้ที่บ้านสูญหายไป ตามเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งเป็นเอกสารราชการความจริงจำเลยได้ทำนิติกรรมขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2076ให้แก่นางสุภาพร และนายบรรเทาไปแล้ว น.ส.3 ก. เลขที่ 2076มิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267
ปัญหาสุดท้ายมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ สำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารราชการนั้นได้ความจากคำเบิกความของนายศรีทร ศรีธนัญชัย พยานโจทก์ว่าจำเลยนำหลักฐานการแจ้งความตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.3 และภาพถ่ายสำเนา น.ส.3 ก. ตามเอกสารหมาย จ.4ไปแสดงต่อนายเกษมสุข ดรบุญล้น ช่างเดินสำรวจรังวัด และนายณรงค์นาควิจิตร เจ้าหน้าที่สอบสวนสิทธิเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.4 ไม่ตรงกับสำเนา น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นเอกสารอันแท้จริง โดยรูปที่ดินตามเอกสารหมาย จ.4 ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันที่จำเลยนำไปแสดง เพราะที่ดินดังกล่าวมีการแบ่งแยกขายให้แก่นางสุภาพร ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2522ตามเอกสารหมาย จ.1 นอกจากนี้สารบัญจดทะเบียนด้านหลังก็ไม่ถูกต้องด้วย เพราะสารบัญจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.4 ระบุเพียงว่า จำเลยจำนองที่ดินแล้วไถ่ถอนจำนองเท่านั้น ความจริงแล้วสารบัญจดทะเบียนจะต้องมีต่อมาเป็นการแบ่งขายและขายอีกหลายรายการ และโจทก์มีนายสุรินทร์ พลตรี มาเบิกความว่าเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งมีข้อความว่าสำเนาถูกต้องและมีลายมือชื่อเป็นตัวพิมพ์ไว้ว่า นายสุรินทร์พลตรี นั้น ลายมือชื่อดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของพยาน สำหรับคำว่า สำเนาถูกต้องและนายสุรินทร์ พลตรี นั้น ดูแล้วเห็นว่าเป็นตราประทับที่พยานใช้อยู่เป็นประจำ ตราประทับดังกล่าวพยานวางไว้บนโต๊ะทำงาน ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารหมาย จ.4 แตกต่างจากเอกสารหมาย จ.1 ดังวินิจฉัยข้างต้นและนายสุรินทร์ผู้มีชื่อว่าเป็นผู้รับรองสำเนาเอกสารหมาย จ.4 ก็เบิกความยืนยันว่า มิได้ลงลายมือชื่อไว้ ประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ไปแจ้งความต่อพันตำรวจโทสายนันท์ว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 2076 ซึ่งเก็บไว้ที่บ้านสูญหายไปแล้วคัดสำเนาแจ้งความรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี และนำเอกสารหมาย จ.4 ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกโฉนดที่ดินทั้ง ๆ ที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าตนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสุภาพร และนายบรรเทาไปแล้ว น.ส.3 ก. ที่ดินที่ถูกต้องนั้นไม่มีชื่อจำเลยข้อเท็จจริงเชื่อว่าก่อนที่จำเลยจะนำภาพถ่ายสำเนา น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.4 ไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกโฉนดที่ดินนั้นจำเลยได้นำสำเนา น.ส.3 ก. เลขที่ 2076 มาแก้ไขโดยการเพิ่มเติมตัดทอนข้อความและแก้รูปแผนที่ที่ดินให้ผิดไปจากความจริง แล้วจำเลยได้ถ่ายภาพสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีแก้ไขดังกล่าวเป็นภาพถ่ายสำเนา น.ส.3 ก. ตามเอกสารหมาย จ.4 ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจว่าเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยทำขึ้นนั้นเป็นภาพถ่ายสำเนา น.ส.3 ก. เลขที่ 2076 ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการที่จำเลยอ้างว่า จำเลยติดต่อซื้อที่ดินจากนางดวงพรในราคา 66,000บาท นางดวงพร จึงมอบเอกสารหมาย จ.4 ให้จำเลยนั้น จำเลยคงมีตัวจำเลย นายเจริญ แก้วหนิ้วและนายยวง ต๊ะเตจา พยานบุคคลมาเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนไม่มีน้ำหนักที่จะฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ สำหรับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายเกษมสุขและนายณรงค์พยานโจทก์ว่าจำเลยนำเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งจำเลยทำขึ้นดังกล่าวไปแสดงต่อพยานโจทก์ทั้งสองเพื่อให้พยานโจทก์ทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share