แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายทำสัญญายกทรัพย์ให้ฝ่ายหยิงเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมเป็นภรรยาโดยฝ่ายหญิงรู้อยู่ว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ดังนี้ ถือว่าสัญญานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกรณีเช่นนี้ฝ่ายหญิงจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทางละเมิดไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้ได้ความว่าจำเลยสู่ขอโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรีโจทก์ที่ ๑ ไปเป็นภริยา โดยจำเลยได้ทำสัญญาทรัพย์ให้แก่โจทก์ทั้ง ๒ ทั้งนี้โดยโจทก์ก็รู้อยู่แล้วว่าจำเลยมีภริยาอยู่ก่อนแล้ว การที่ยกโจทก์ที่ ๒ ให้ก็เพื่อให้เป็นภริยาน้อยเท่านั้น มิได้หวังให้จดทะเบียนสมรสแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ที่ ๒ ไม่ยอมกับจำเลย ๆ ก็ไม่จดทะเบียนสมรส และพออยู่กินกันได้ ๑๐ วันเศษ จำเลยไม่ยอมรับโจทก์ที่ ๒ ไว้เป็นภริยาต่อไป โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยสงทรัพย์ตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายอีกด้วย
ศาลขั้นต้นเห็นว่า โจทก์ที่ ๒ ยอมเป้นภริยาจำเลยเพราะเชื่อคำหลอกลวงจึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ สาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญรายนี้เป็นการอุดหนุนให้จำเลยมีภริยาอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบด้วย ป.พ.พ.ม. ๑๔๔๕(๓) ฉะนั้นสัญญาเช่นนี้จึงเป็นสัญญาซึ่งใช้บังคับไม่ได้ ส่วนค่าเสียหายนั้นปรากฏว่าโจทก์ที่ ๒ ยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลยโดยสมัครด้วยหวังจะได้ทรัพย์ตามสัญญา แต่ทรัพย์เหล่านี้โจทก์ทั้ง ๒ ไม่มี สิทธิจะได้เพราะสัญญาไม่สมบูรณ์เสียแล้ว โจทก์จะกลับมาเรียกค่าเสียหายอีกย่อมไม่ได้เพราะกรณีนี้ไม่มีการละเมิดแต่อย่างไร เหตุว่าโจทก์ที่ ๒ ยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลยด้วยความสมัครใจดังกล่าวแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์