แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ประกอบกิจการโรงแรมชื่อรามาดาอินน์ ในประเทศทั่วโลก จำเลยประกอบกิจการโรงแรมในประเทศไทยใช้ชื่อว่ารามาดาโฮเต็ล ชื่อทางการค้าของโจทก์และจำเลยแม้จะคล้ายคลึงกันและโจทก์ใช้ชื่อนี้ก่อนจำเลยก็ตาม ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในนามของบุคคล การจะขอห้ามจำเลยมิให้ใช้ชื่อเดียวกับโจทก์จะต้องปรากฏว่าเป็นเหตุให้โจทก์เสื่อมเสียประโยชน์หรือได้รับความเสียหาย และจะเสียหายอยู่สืบไป และเมื่อคำว่า รามาดาเป็นภาษาเมกซิกันอินเดียนแดง มีความหมายว่าที่พักแรม มิใช่คำที่โจทก์ประดิษฐ์คิดขึ้นเอง และโจทก์ก็มิได้เข้ามาประกอบกิจการ โรงแรมในประเทศไทย จึงถือไม่ได้ว่ากิจการโรงแรมของจำเลยในประเทศไทยเป็นการแข่งขันกับกิจการโรงแรมของโจทก์ในต่างประเทศอันจะกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของโจทก์ โจทก์ จึงไม่มีสิทธิอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยใช้ชื่อนั้นในการประกอบกิจการโรงแรมของจำเลยในประเทศไทยได้ และปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของประกอบกิจการโรงแรมชื่อโรงแรมรามาดา(Ramada Inn) มาประมาณ 20 ปี ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโรงแรมรามาดาเป็นกิจการค้าของโจทก์แต่ผู้เดียว และเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงเป็นที่เชื่อถือว่าเป็นโรงแรมชั้นดี แม้โจทก์จะยังมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโรงแรมโจทก์เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ผู้ประกอบกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศไทย และโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใช้คำว่ารามาดาอยู่ด้วยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศประมาณปี 2519 จำเลยที่ 5 ในฐานะส่วนตัวหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตเปิดโรงแรมชื่อโรงแรมรามาดา (Ramada Hotel) ขึ้นที่กรุงเทพมหานครโดยจำเลยที่ 2, 3, และ 4 เป็นผู้ดำเนินกิจการ ทั้งนี้โดยจำเลยได้ร่วมกันเอาชื่อรามาดาอันเป็นชื่อในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้โดยผิดกฎหมายและปราศจากอำนาจ ทำให้ประชาชนหลงผิดว่ากิจการค้าของจำเลยเป็นกิจการค้าของโจทก์ เป็นการเสียหายแก่การประกอบการค้าของโจทก์ ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณในทางการค้าของโจทก์เสื่อมทราม ขอให้ศาลบังคับจำเลยยุติการละเมิดโดยไม่ใช้คำว่ารามาดากับกิจการโรงแรมของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับค่าเสียหายอีกวันละ1,000 บาท ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะยุติละเมิด
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยได้ประดิษฐ์ชื่อโรงแรมรามาดาขึ้นมาเองชื่อโรงแรมจำเลยมิได้คล้ายกับชื่อโรงแรมโจทก์ มิได้ทำให้ประชาชนหลงผิดว่ากิจการของจำเลยเป็นกิจการของโจทก์ โจทก์มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย จำเลยประกอบกิจการโรงแรมใช้ชื่อรามาดาก่อนโจทก์ในประเทศไทย สิทธิของโจทก์จึงมิได้รับการรับรองโดยกฎหมายไทย การกระทำของจำเลยไม่ได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์เสียหายไม่ถึงฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำการในฐานะกรรมการและตัวแทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการโรงแรมใช้ชื่อรามาดาในประเทศไทย เป็นการเอาชื่อในทางการค้าของโจทก์มาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงผิดคิดว่ากิจการโรงแรมดังกล่าวเป็นของโจทก์หรือมีส่วนเกี่ยวพันกับโจทก์ ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ สำหรับค่าเสียหายโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเสียหายอย่างไร ยังไม่สมควรให้โจทก์ได้รับค่าเสียหาย พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ยุติการใช้ชื่อ “รามาดา” ประกอบกิจการโรงแรมของตนในประเทศไทย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ชื่อในทางการค้าของจำเลยที่ 1 และของโจทก์ใช้คำต้นว่ารามาดาเหมือนกัน ต่างกันเฉพาะคำท้าย จำเลยที่ 1 ใช้ว่า โฮเต็ลส่วนโจทก์ใช้ว่า อินน์ ความหมายของทั้งสองคำนี้หมายถึงโรงแรมหรือที่พักคนเดินทาง ทำนองเดียวกัน คำว่า รามาดา โฮเต็ล ที่จำเลยที่ 1 ใช้ในกิจการโรงแรมของตนจึงคล้ายคลึงกับคำว่า รามาดา อินน์ ที่โจทก์ใช้ในกิจการโรงแรมของโจทก์ โจทก์นำคำว่า รามาดา มาใช้เรียกชื่อกิจการโรงแรมของโจทก์ก่อนจำเลย กรณีแห่งคดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในนามของบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 เพราะกรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 มาใช้ในกิจการโรงแรมของโจทก์โดยมิได้รับอำนาจให้ใช้ได้ ดังนั้น การที่โจทก์จะขอให้ศาลห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อเดียวกับโจทก์ ก็จะต้องปรากฏว่าการใช้ชื่อดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์หรือได้รับความเสียหายและเป็นที่พึงวิตกว่าโจทก์จะต้องเสียหายอยู่สืบไป คำว่า รามาดา ได้มาจากภาษาเมกซิกัน อินเดียนแดง มีความหมายว่าที่พักแรมหรือที่พักระหว่างทาง จึงมิใช่คำที่โจทก์ประดิษฐ์คิดขึ้นเองแต่เป็นคำสามัญธรรมดาที่บุคคลอื่นอาจนำไปใช้โดยบังเอิญได้ เมื่อโจทก์มิได้เข้ามาประกอบกิจการโรงแรมโดยใช้ชื่อรามาดาในประเทศไทย กรณีไม่อาจเป็นไปได้ว่ากิจการโรงแรมของจำเลยในประเทศไทยจะเป็นการแข่งขันกับกิจการโรงแรมของโจทก์ในต่างประเทศอันจะกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ที่โจทก์เคยได้รับในประเทศนั้น ดังนั้น การประกอบกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 ในประเทศไทย แม้จะใช้ชื่อรามาดาเช่นเดียวกับโจทก์ ก็ไม่อาจทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์หรือได้รับความเสียหายโจทก์จึงไม่มีสิทธิอาศัยอำนาจตามมาตรา 18 ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยที่ 1 มิให้ใช้ชื่อรามาดาในการประกอบกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยได้ ปัญหานี้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 142(5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วย