แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินและอาคารพิพาทจำเลยยื่นฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและ อาคารพิพาท จึงเป็นการต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยตรง เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลย โดยวินิจฉัยว่า จำเลย ถูกฟ้องล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย เด็ดขาดไปก่อนจำเลยยื่นฎีกาคดีนี้ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ฎีกาของจำเลยเป็นการต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลย จำเลยจึงไม่อาจยื่นฎีกาได้ คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 และจำเลยย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกายกคดี ขึ้นพิจารณาใหม่ในชั้นศาลฎีกาได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินโฉนดที่ 8750 และอาคารเลขที่ 149 และเลขที่ 149/1 ถึง 149/4 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ของโจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาสรุปใจความสำคัญได้ว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินและอาคารพิพาท อันเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มิได้เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 กรณีอ้างไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ซึ่งบัญญัติว่า”เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้ (3) ประนีประนอมยอมความหรือฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้” นั้น เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินและอาคารพิพาทโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาท จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สรุปใจความสำคัญได้ว่าตามพยานหลักฐานในคดีที่นำสืบฟังไม่ได้ว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทจาก นายพิชัย นิวาทวงษ์ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทดังนี้ เป็นการต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยตรง เมื่อได้ความว่าศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1 โดยวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ถูกฟ้องล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2526 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นการต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจยื่นฎีกาได้ คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกายกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ในชั้นศาลฎีกาได้เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำร้องขอให้ศาลฎีกายกคดีขึ้นพิจารณาใหม่นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน