แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำซัดทอดของจำเลยด้วยกันฟังเป็นพยานหลักฐานยันจำเลยอื่นไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม 2498 เวลากลางคืนหลังเที่ยง กับวันที่ 11 ธันวาคม 2498 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงติดต่อกัน จำเลยทั้งสามกับพวกที่ยังจับตัวไม่ได้อีกหลายคน ได้สมคบกันเล่นการพนันหวย ก.ข. โดยใช้ตัวเลขแทนตัวอักษร อันเป็นการพนันประเภทห้ามขาด พนันเอาทรัพย์สินกัน โดยจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายเจ้ามือคือจำเลยที่ 2 เป็นเจ้ามือ (ขุนบาล) ผู้รับกินรับใช้ จำเลยที่ 1 เป็นยี่ปั๊ว ผู้รับโพยหวยจากเสมียน (ซาปั๊ว) ไปส่งแก่เจ้ามือและรับโพยหวยนั้นจากเจ้ามือส่งคืนแก่เสมียนเมื่อออกหวยแล้ว พร้อมทั้งแจ้งตัวหวยที่ออกให้ทราบด้วย จำเลยที่ 3 เป็นเสมียน (ซาปั๊ว) ผู้รับเงินค่าแทงหวยจากลูกค้าผู้เข้าเล่นและเขียนโพยหวย แล้วรวบรวมส่งให้ผู้รับโพยหวย (ยี่ปั๊ว) และเป็นผู้จ่ายเงินรางวัลแก่ลูกค้าผู้แทงถูก และจำเลยที่ 3 เป็นลูกค้าผู้เข้าเล่นการพนันด้วยทั้งนี้โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ เหตุเกิดที่ตำบลถนนนครไชยศรี และตำบลบางซื่ออำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 10, 12 พระราชบัญญัติการพนัน(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ขอให้สั่งริบของกลางและให้จำเลยจ่ายค่านำจับด้วย
นายอมรศักดิ์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
พลตำรวจหวาน จำเลยที่ 2 และนางจุก จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลอาญาพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 ให้ลงโทษพลตำรวจหวานจำเลยที่ 2 จำคุก 8 เดือน ปรับ 3,000 บาท ลงโทษนายอมรศักดิ์จำเลยที่ 1 จำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท ลงโทษนางจุกจำเลยที่ 3 จำคุก 3 เดือน ปรับ 3,000 บาท แต่นายอมรศักดิ์จำเลยที่ 1 อายุเพียง 19 ปีเศษ ลดโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 58 ทวิลงหนึ่งในสามเหลือจำคุก 4 เดือน ปรับ 2,000 บาท ลดฐานปรานีตามมาตรา 59 อีกกึ่งหนึ่ง คงจำคุกนายอมรศักดิ์ จำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือนปรับ 1,000 บาท นางจุกจำเลยที่ 3 ให้การในชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 ลงหนึ่งในสามคงจำคุกนางจุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับจัดการตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 18 กับให้จำเลยจ่ายค่านำจับคนละกึ่งหนึ่งของค่าปรับ และให้ริบของกลาง
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตไปแล้ว
เหลือแต่จำเลยที่ 3 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า หลักฐานพยานโจทก์ยังไม่พอลงโทษจำเลยได้ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะตัวนางจุกจำเลยที่ 3 ว่าไม่มีความผิด ให้ยกข้อหา ปล่อยตัวไป
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษนางจุกจำเลยที่ 3
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้ว โจทก์มีพยานหลักฐานที่นำสืบแสดงว่า นางจุกจำเลยที่ 3 ได้กระทำผิดในคดีนี้มี 3 ประการ
(1) คำซัดทอดของนายอมรศักดิ์จำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวน ว่าได้เก็บโพยหวยจากจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นซาปั๊ว
(2) การพิสูจน์ลายมือของผู้ชำนาญการพิสูจน์หลักฐานกองวิทยาการกรมตำรวจ ปรากฏว่าลายมือเขียนตัวเลขฝรั่งในเอกสาร จ.3 กับตัวอย่างลายมือเขียนนางจุกจำเลยที่ 3 (เอกสาร จ.17 ถึง 22) ผู้พิสูจน์เห็นว่าเป็นลายมือของคน ๆ เดียวกัน
(3) ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 ให้ถ้อยคำว่า อยากเก็บหวย ก.ข. จากลูกค้าให้ แต่ไม่มีใครแทง จึงแทงเอง (ตามเอกสารหมาย จ.3)
พิจารณาเห็นว่า คำซัดทอดของจำเลยด้วยกันนั้น จะฟังเป็นพยานหลักฐานหาได้ไม่ เพราะคำให้การของจำเลยกฎหมายเปิดโอกาสให้จำเลยกล่าวแก้ตัวได้เต็มที่ ไม่มีข้อผูกพันด้วยพันธธรรมอันใดยิ่งเป็นคำให้การชั้นเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งไม่จำต้องกล่าวต่อหน้าจำเลยด้วยกันแล้ว ก็ยิ่งปราศจากน้ำหนักหลักฐานอันจะอ้างยันแก่จำเลยได้
ส่วนการพิสูจน์ลายมือแห่งการขีดเขียนตัวเลขในเอกสาร จ.3 ซึ่งเจ้าพนักงานผู้พิสูจน์เห็นว่าเป็นลายมือของจำเลยที่ 3 นั้นเป็นเรื่องของความเห็นในการพิจารณารอยขีดเขียน มิใช่เรื่องลายพิมพ์นิ้วมือ อนึ่งในข้อนี้ตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายอมรศักดิ์จำเลยที่ 1 ว่า ลายมือเขียนตัวเลขฝรั่งในเอกสาร จ.3 ด้านที่ 3 ด้วยดินสอแดง ซึ่งหมายถึงเลข 88 ส่วน 2 108 ส่วน 32 นั้น นายหวานจำเลยที่ 2 เป็นผู้เขียน หาใช่นางจุกจำเลยที่ 3 เป็นผู้เขียนดังความเห็นของเจ้าพนักงานผู้พิสูจน์ไม่
ข้อที่ว่า จำเลยที่ 3 รับในชั้นสอบสวนว่าเป็นลูกค้าผู้แทงด้วยนั้น ในชั้นศาลพิจารณา จำเลยที่ 3 เบิกความปฏิเสธว่ามิใช่เป็นความจริง ที่กล่าวไปเช่นนั้นก็เพราะเจ้าพนักงานสอบสวนต้องการให้พูดและจะยอมให้กลับบ้าน แต่ในคำให้การนั้นก็ยังปฏิเสธว่ามิได้เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายเจ้ามือดังข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงาน
ความประสงค์ของโจทก์ต้องการฟ้องให้ลงโทษจำเลยในฐานเป็นฝ่ายเจ้ามือการเล่นพนันรายนี้ แต่ตอนท้ายฟ้องวกมาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานเป็นลูกค้าผู้เล่นด้วยซึ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย น่าจะเป็นเพราะคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 เป็นมูลเหตุ แต่ความข้อนี้หาเป็นสาระแก่คดีมิได้
เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืนตาม ให้ยกฎีกาของโจทก์