คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ในชั้นศาลชั้นต้น จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยไม่ได้กู้ โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง มิได้ต่อสู้ไว้เลยว่าสัญญากู้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ และเพิ่งจะมายกขึ้นเป็นข้อฎีกาเท่านั้น ไม่รับพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่วัดเขาดิน ตำบลห้วยบง จังหวัดสระบุรี ได้มีงานฝังลูกนิมิตร มีการเรี่ยไรเงินสำหรับซ่อมแซมวัด ได้ตั้งกรรมการของวัดดำเนินงานหลายตน รวมทั้งจำเลยด้วย และในด้านการเงิน จำเลยได้รับมอบให้เก็บรักษาบัญชีรายรับรายจ่ายเงินของวัดรวมทั้งตัวเงินบางส่วนด้วย เมื่อเสร็จงานแล้วได้เงินที่มีผู้ทำบุญ หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือ ๑๓,๙๐๐ บาทเศษ ทางวัดมอบให้กรรมการของวัดแต่ละคนเป็นผู้เก็บรักษา โดยจำเลยเป็นผู้ทำบัญชี ครั้นวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๙๘ จำเลยมาขอกู้เงินของวัด ๓,๐๐๐ บาท ในเงินรายที่นายเปิ้นเป็นกรรมการผู้รักษา ต่อหน้าผู้เป็นกรรมการหลายคน โดยจำเลยอ้างว่า จะเอาไปใช้ส่วนตัวชั่วคราว และตกลงจะคิดดอกเบี้ยให้ชั่งละ ๑ บาท ต่อเดือน นายเปิ้นเห็นว่าจำเลยก็มีหน้าที่เป็นกรรมการรักษาเงินของวัดด้วย จึงมอบเงิน ๓,๐๐๐ บาท ให้จำเลยเซ็นรับเงินไว้ในบัญชีฉบับเดียวกันนั้น ต่อหน้ากรรมการของวัดนั้น มาบัดนี้ ทางวัดต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในการซ่อมโบสถ์ ได้ทวงให้จำเลยส่งคืนหลายครั้ง แต่จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ และว่านายคำ โมงนาที กำนันเป็นผู้กู้ไปจากนายเปิ้น ต่อมานายเปิ้นทวงเงินจากนายคำผู้กู้หลายครั้งแต่ไม่ได้ นายเปิ้นจึงขอสมุดรักษาเงินจากจำเลยไป ว่าจะฟ้องนายคำ ครั้นแล้วนายเปิ้นก็นำคดีมาฟ้องจำเลย โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ปรากฏจากคำพยานโจทก์ว่า ในการที่จำเลยกู้เงินนี้ ในสมุดซึ่งบันทึกข้อความเกี่ยวกับการกู้เงินมิได้ปิดอากรแสตมป์ หลักฐานจึงย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร โจทก์นำมาฟ้องร้องไม่ได้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้กลับหรือยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพราะมีพยานบุคคลสืบได้ความแล้วว่า มีการกู้กันจริง แต่ยังไม่ได้ปิดอาการแสตมป์ เพราะเอกสารที่โจทก์ขออ้าง จำเลยไม่ส่งมา จึงยังปิดแสตมป์ไม่ได้
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า บันทึกเกี่ยวกับการกู้เงินในสมุดนั้น มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรก็ตาม แต่การบันทึกหรือเซ็นรับเงินในสมุดนั้นไม่ใช่สัญญากู้เงิน เป็นเอกสารหลักฐานอย่างหนึ่งในการกู้เงินเท่านั้น ซึ่งหลักฐานเช่นนี้ตามประมวลรัษฎากรมิได้ระบุไว้ว่าต้องปิดอากรแสตมป์ จึงให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์อ้างบันทึกการกู้เงิน แต่ไม่ได้มาเป็นพยานโจทก์จึงสืบพยานบุคคลประกอบฟ้อง ในศาลชั้นต้น จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินดังฟ้อง โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง จะฟ้องจำเลยไม่ได้ จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้เลยว่าสัญญากู้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ และจำเลยเพิ่งจะมายกขึ้นเป็นข้อฎีกาในชั้นนี้ ฎีกาของจำเลยจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
ยกฎีกาจำเลย

Share