คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เข้าครอบครองที่ดินรกร้างว่างเปล่าโดยตั้งใจว่า เมื่อทางราชการต้องการก็จะคืนไป เพียงมีเจตนาเท่านี้จะถือว่าไม่ได้ยืดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามมาตรา 1367 หรือสละเจตนาครอบครองตามมาตรา 1377 ยังไม่ได้ เพราะตราบใดที่ทางราชการยังไม่ต้องการผู้นั้นก็ยังต้องการเอาไว้อยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินรกร้างว่างเปล่าแปลงหนึ่ง ชั้นแรกได้ขอจับจองแต่กำนันว่าเป็นที่สงวนทางราชการ ขอจับจองไม่ได้ โจทก์จึงครอบครองที่ดินแปลงนี้ต่อมา โดยถือว่าเมื่อทางราชการต้องการเมื่อใดโจทก์ไม่ขัดข้องบัดนี้จำเลยนำเจ้าพนักงานอำเภอไปรังวัด เพื่อขายที่ดิน และทำรังวัดติดเขตต์ที่โจทก์ปกครองอยู่ประมาณ ๖๐ ไร่ ขอให้ศาลสั่งว่าที่ตอนพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์ครอบครองสั่งให้อำเภองดการทำหนังสือซื้อขาย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยครอบครองถือกรรมสิทธิที่พิพาทติดต่อมา ๒๐ ปีเศษแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทภายหลัง พ.ร.บ.โฉนดที่ดิน (ฉะบับที่ ๖) ๒๔๗๑ จำต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตาม ก.ม.การเข้าครอบครองโดยพละการ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิตาม ก.ม.จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นกรณีพิพาทระหว่างราษฎรต่อราษฎร จำต้องพิจารณาว่าใครมีสิทธิดีกว่ากันพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาว่าถือไม่ได้ว่า โจทก์ครอบครองเพื่อตนตาม ก.ม.
ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์ครอบครองที่ดินโดยตั้งใจว่า เมื่อทางราชการต้องการก็จะคืนไปเพียงมีเจตนาเท่านี้จะถือว่าโจทก์ไม่ได้ยึดถือโดยเจตนา จะยึดถือเพื่อตนตามมาตรา ๑๓๖๗ หรือสละเจตนาครอบครองตาม ม. ๑๓๗๗ ยังไม่ได้ เพราะตราบใดที่ทางราชการยังไม่ต้องการ โจทก์ก็ยังต้องการเอาไว้อยู่จึงพิพากษายืน

Share