คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นมารดาจำเลยเมื่อโจทก์ขอเงินจำเลยด่าโจทก์ว่าเป็นตัวมารเป็นคนกลับกลอกเป็นผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้เชื่อถือไม่ได้เป็นเปรตขอส่วนบุญถือได้ว่าเป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา531(2)จึงมีเหตุที่โจทก์จะถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จดทะเบียนการให้ที่ดินโฉนดที่ 4984แก่บุตรของโจทก์ คือ จำเลย และบุตรคนอื่นอีก 3 คน ต่อมาจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนคืนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่โจทก์ยกให้คืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิเคยกล่าวให้ร้ายโจทก์ ทั้งมิเคยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม นอกจากนี้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทั้งเหตุที่อ้างว่าจำเลยด่าว่าโจทก์นั้นก็ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4984เฉพาะส่วนของจำเลยแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า จำเลยไม่ได้ประพฤติเนรคุณ ข้อนี้โจทก์เบิกความว่า เมื่อโจทก์ขอเงินจำเลยด่าว่าเป็นตัวมาร เป็นคนกลับกลอก เป็นผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้ เป็นเปรตขอส่วนบุญ นอกจากนั้น โจทก์มีนายสุทธิพรและนายสุทธิพงษ์ เป็นพยานสนับสนุน จำเลยเบิกความเป็นพยานรับว่ามีสาเหตุกับโจทก์ และโจทก์เคยไปร้องเรียนต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี จึงเจือสมกับพยานโจทก์ เห็นว่าโจทก์เป็นมารดาจำเลย หากจำเลยไม่ได้ด่าว่าโจทก์จริงแล้วโจทก์ก็คงไม่เสกสรรค์ ปั้นเรื่องขึ้นกล่าวหาจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบการที่จำเลยด่าว่าโจทก์ดังกล่าว เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) จึงมีเหตุที่โจทก์จะถอนคืนการให้ได้
พิพากษายืน

Share