คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายห้อยโหนที่บันไดท้ายรถเพราะคนโดยสารแน่นคนขับทราบว่ามีผู้โดยสารเกาะห้อยโหนอยู่ แต่ได้ขับแซงรถคันที่จอดอยู่ข้างหน้าจนท้ายรถเบียดชิด เป็นเหตุให้ผู้ตายฟาดกับรถที่จอดอยู่พลัดตกลงมาถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทของคนขับ แม้ผู้ตายจะมีส่วนผิดอยู่ด้วย ในการที่ไปเกาะห้อยโหนอยู่ที่บันไดรถก็ไม่ทำให้คนขับพ้นความรับผิดจากความประมาทเลินเล่อดังกล่าวได้
ผู้ตายมีสร้อยคอทองคำ พระเครื่องและเงินสดติดตัวได้สูญหายไปเพราะเหตุที่เกิดขึ้น เช่นนี้ จำเลยในฐานะผู้ขนส่งและนายจ้างจึงต้องรับผิด
การที่บุตรตายลงไป ย่อมทำให้บิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายทั้งนี้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าในปัจจุบันผู้ตายจะได้อุปการะบิดามารดาอยู่หรือไม่ บิดามารดาชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่ต้องขาดไร้อุปการะนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน และเป็นบิดามารดาของพลทหารชวลิต ชลานุเคราะห์ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๑๑ เวลา๗ นาฬิกาเศษ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถเมล์ศรีนคร สายที่ ๖๖ ของจำเลยที่ ๒โดยประมาท เป็นเหตุให้พลทหารชวลิตซึ่งยืนอยู่ที่บันไดรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับถูกเบียดอัดกับรถคันที่จอดอยู่ พลัดตกลงมาและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะผู้ขนส่งและนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสร้อยทองคำ พระเครื่อง และเงินที่หายไปจากตัวผู้ตายเป็นเงิน ๒,๓๐๐ บาท ค่าทำศพเป็นเงิน ๑๑,๕๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่วันละเมิดจนถึงวันฟ้อง และให้ร่วมกันชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ขาดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นให้ค่าสินไหมทดแทนทั้ง ๓ รายการ คือ ค่าสายสร้อยพระเครื่องและเงินติดตัวผู้ตาย รวม ๒,๓๐๐ บาท ค่าทำศพ ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าขาดไร้อุปการะ๑๐ ปี เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น ๘๔,๓๐๐ บาทแต่เนื่องจากผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย จึงลดค่าสินไหมทดแทนลงกึ่งหนึ่งให้โจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียง ๔๒,๑๕๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันเป็นเงิน ๔๒,๑๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน ๖,๑๕๐ บาท นับแต่วันละเมิด จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายห้อยโหนที่บันไดท้ายรถเพราะคนโดยสารแน่นมากจำเลยที่ ๑ ทราบดีว่ามีผู้โดยสารยืนเกาะห้อยโหนอยู่ที่บันไดท้ายรถ จึงชอบที่จะแก้ไขมิให้ผู้โดยสารเกาะห้อยโหนรถเสียก่อนที่จะออกรถหรือหากจำเลยที่ ๑จะออกรถในลักษณะเช่นนั้น ก็ชอบที่จะขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อมิให้เกิดอันตรายแก่ผู้โดยสารนั้นการที่จำเลยที่ ๑ ขับรถแซงรถคันที่จอดอยู่ข้างหน้าจนท้ายรถเบียดชิดกับรถคันที่จอด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายฟาดกับรถที่จอดอยู่พลัดตกลงมาถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ แม้ผู้ตายจะมีส่วนผิดอยู่ด้วยในการที่ไปเกาะห้อยโหนอยู่ที่บันไดรถ ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ ๑ พ้นความรับผิดจากความประมาทเลินเล่อดังกล่าวได้
ประเด็นเรื่องสายสร้อยคอทองคำ พระเครื่อง และเงินสดที่หายไปนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายมีทรัพย์สินดังกล่าวติดตัวไปและสูญหายเพราะเหตุที่เกิดขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิด
ส่วนค่าปลงศพนั้นเห็นว่า บิดาผู้ตายทำงานในตำแหน่งหัวหน้าตลาดสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้๑๐,๐๐๐ บาทนั้น เป็นการเหมาะสมแล้ว
ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๓ วรรค ๓ บัญญัติ “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๕บัญญัติว่า “บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา” กฎหมายมีดังนี้จึงถือได้ว่าการที่พลทหารชวลิตตายลง ทำให้โจทก์ผู้เป็นบิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตายตามกฎหมาย ทั้งนี้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าปัจจุบันผู้ตายจะได้อุปการะโจทก์ผู้เป็นบิดามารดาอยู่หรือไม่ โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายนั้นได้ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองมานั้นเป็นการสมควรแล้ว
พิพากษายืน

Share