แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนำสืบถึงมูลกรณีเดิมที่เป็นหนี้กัน ไม่ถือว่าเป็นการสืบต่างกับฟ้อง
จำเลยกู้เงินบิดาโจทก์ไปบิดาโจทก์ตายโจทก์ได้รับมฤดก โจทก์จำเลยทำสัญญากันอีกฉะบับ 1 เป็นว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์โดยสัญญานี้มีพะยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยถูกต้องตามกฎหมาย โจทกืฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญา-ฉะบับที่ทำกู้จากบิดา ศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว โจทก์ฟ้องใหม่โดยอาศัยสัญญาที่ทำกับตนเองนั้นได้ เพราะไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน
เมื่อคำพิพากษาก่อนกล่าวว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์จะฟ้องใหม่โดยอาศัยเอกสารฉะบับใดโจทก์ฟ้องโดยอาศัยเอกสารฉะบับนั้นอีกได้ ด้วยไม่ใช่คดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ย่อยาว
เดิมจำเลยที่ ๑ กู้เงินบิดาโจทก์ไปเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๔๗๑ เป็นเงิน ๑๑๒๐ บาทต่อมาภายหลังเอาไปอีก ๘๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันอีกฉะบับหนึ่งต่างหาก ในสัญญากู้ฉะบับนั้นไม่มีพะยานในหนังสือรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้กู้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาบิดาโจทก์ตายโจทก์ได้รับมฤดก โจทก์จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทำหนังสือสัญญากันมีข้อความว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ ๑๒๐๐ บาท แต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๔๗๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันได้ผัดเรื่อย ๆ มา บัดนี้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขอผัดอีกครั้งหนึ่ง คือจะยอมโอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๖๗ ให้โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระต้นเงินดอกเบี้ยหรือไม่โอนที่ดิน จำเลยทั้ง ๒ ขอรับผิดร่วมกันในการชำระหนี้สินรายนี้ ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญากู้ สัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำกับบิดาโจทก์ศาลพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิ์ที่โจทก์จะฟ้องใหม่โดยอาศัยสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันเองครั้งหลังนี้ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องใหม่โดยอาศัยสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันเองนั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้ง ๒ รับผิดใช้เงินให้โจทก์ ๑๒๐๐ บาทพร้อมกับดอกเบี้ย
จำเลยคัดค้านว่า หนังสือที่โจทก์อาศัยมาฟ้องใหม่นี้มีข้อความว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไปต่างกับทางพิจารณาที่สืบว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินจากบิดาโจทก์ไป จึงเป็นใบรับรองหนี้คนละราย ต้องถือว่าทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้อง และได้มีคำพิพากษาเด็ดขาดมาแล้วโจทก์นำคดีมาฟ้องอีกไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่าหนังสือที่โจทก์อาศัยมาฟ้องนี้ กล่าวถึงมูลหนี้เดิมว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลุกหนี้โจทก์อยู่ ๑๒๐๐ บาทและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันนั้น ก็คือจำนวนเงินที่จำเลยกู้จากบิดาโจทก์ ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับมฤดกเจ้าหนี้เดิมนั้นเอง หนังสือที่นำมาฟ้องซึ่งกล่าวท้าวถึงมูลหนี้เดิมกับที่โจทก์นำสืบจึงเป็นมูลหนี้รายเดียวกัน ไม่ใช่คนละราย ข้อเท็จจริงจึงไม่ต่างกับฟ้อง และเห็นว่าคดีเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยให้ใช้หนี้ตามสัญญากู้และค้ำประกันที่ทำให้กับบิดาโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ชำระหนี้ตามหนังสือที่จำเลยทำกับโจทก์เอง มีประเด็นวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุไม่เหมือนกัน ทั้งคำพิพากษาคดีเดิมก็ยินยอมให้โจทก์ฟ้องตามเอกสารที่จำเลยทำกับโจทก์เองนี้ได้ ฉะนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง+ไม่ใช่คดีมีคำพิพากษาถึงที่สุด จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์