แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ใบตราส่งแสดงชื่อผู้รับตราส่งว่า ให้เป็นไปตามคำสั่งของธนาคาร ด. ธนาคาร ด. ได้สลักหลังใบตราส่งให้แก่ธนาคาร ซ. ซึ่งสลักหลังสิทธิตามใบตราส่งให้โจทก์ ซึ่งด้านหลังของใบตราส่งปรากฏว่ามีรายการสลักหลังโดยระบุชื่อธนาคารทั้งสองและลายมือชื่อของผู้มีอำนาจของธนาคารทั้งสอง อีกทั้งมีการระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับสลักหลังด้วย และเมื่อโจทก์เป็นผู้รับสลักหลังคนสุดท้ายจึงต้องถือว่าเป็นผู้รับตราส่ง แม้มิได้มีการแสดงชื่อในใบตราส่งว่าเป็นผู้รับตราส่งก็ตาม และเนื่องจากสิทธิที่ระบุไว้ในใบตราส่งตกแก่ผู้รับตราส่งมิใช่ตกแก่ผู้ส่ง ผู้ส่งไม่สามารถสลักหลังโอนสิทธิที่ระบุไว้ในใบตราส่งให้แก่ผู้อื่น ดังนั้น การที่ไม่มีรายชื่อของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท พ. ผู้ส่งสินค้าจึงไม่ทำให้การสลักหลังขาดสาย
พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลฯ มาตรา 58 เป็นเรื่องที่ผู้ขนส่งต้องรับผิดในกรณีที่ของที่ผู้ขนส่งได้รับมอบหมายเกิดสูญหายหรือเสียหาย ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งความรับผิดดังกล่าวหมายถึงกรณีเกิดการสูญหายหรือเสียหายแก่ของที่ผู้ขนส่งรับมอบหมาย ส่วนกรณีที่จำเลยในฐานะผู้ขนส่งไม่ยอมส่งมอบของให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับตราส่ง แต่ได้ส่งมอบของดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อซึ่งมิใช่เป็นบุคคลที่มีชื่อแสดงในใบตราส่งว่าเป็นผู้รับตราส่ง ไม่เข้ากรณีของสูญหายหรือเสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าว เนื่องจากการสูญหายนี้หมายถึงของไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้ขนส่งจะเอามาส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่งได้ตามสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 532,211.53 ดอลลาร์สหรัฐแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 484,431.95 ดอลลาร์สหรัฐนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 440,392.68 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2541จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นวันทำการในวันที่มีคำพิพากษาเป็นเกณฑ์ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันมีคำพิพากษา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า บริษัทเชงกีเอนเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ซื้อ ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้ เพื่อชำระราคาสินค้าไม้อัดเนื้อแข็งอินโดนีเซีย ให้แก่บริษัทพลายวูดอินดาห์ (เอชเค) จำกัด ผู้ขาย โจทก์อนุมัติและออกเลตเตอร์ออฟเครดิตเอกสารหมาย จ.5 โดยระบุให้บริษัทพลายวูด อินดาห์ (เอชเค) จำกัดเป็นผู้รับประโยชน์ บริษัทพลายวูด อินดาห์ (เอชเค) จำกัด ดำเนินการให้บริษัทพีที วานา ปันกัน อกัง จำกัด ส่งสินค้าดังกล่าวทางทะเลให้แก่บริษัทเชงกี เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด จากประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซียมายังเมืองฮ่องกง โดยจำเลยเป็นผู้ขนสินค้า เมื่อสินค้าบรรทุกลงเรือแสงไทย เฮฟเว่น เรียบร้อยแล้ว จำเลยได้ออกใบตราส่งเอกสารหมายจ.9 ให้แก่บริษัทพีที วานา ปันกัน อกัง จำกัด โจทก์ชำระราคาสินค้าให้แก่บริษัทพลายวูด อินดาห์ (เอชเค) จำกัด แล้ว และเรียกให้บริษัทโอเชียน อีเกิล นาวิเกชั่น จำกัด ตัวแทนของจำเลยในเมืองฮ่องกงมอบสินค้าแก่โจทก์ บริษัทเชงกี เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด ไม่ชำระเงินคืนให้แก่โจทก์ บริษัทโอเชียน อีเกิล นาวิเกชั่น จำกัด ไม่ยอมส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ แต่ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่บริษัทเชงกี เอนเตอร์ไพรส์จำกัด คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่าโจทก์เป็นผู้รับตราส่งหรือผู้ทรงใบตราส่งเอกสารหมาย จ.9 หรือไม่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า ตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.9 แสดงชื่อผู้ส่งสินค้าดังนี้”ผู้ส่งสินค้า : พีที วานา บังกุน อากุง เจแอล ไอจี นากุราไร เลขที่ 38ปอนเตียนัก อินโดนีเซีย” และแสดงชื่อผู้รับตราส่งดังนี้ “ผู้รับตราส่ง :ตามคำสั่งของ พีที แบงก์ ดากัง เนชั่นแนล อินโดนีเซีย สาขาปอนเตียนักอินโดนีเซีย” การแสดงชื่อดังกล่าว นายโล คิง หยวน และนายปรีชาอิบราฮิม พยานโจทก์ให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงว่า ผู้ส่งสินค้าคือบริษัทพีที วานา ปันกัน อกัง จำกัด ส่วนผู้รับตราส่งคือให้เป็นไปตามคำสั่งของธนาคารดากัง เนชั่นแนล อินโดนีเซีย สาขาปอนเตียนักฝ่ายจำเลยมีพยานมาสืบ 2 ปาก คือ นายวรวิทย์ วิศิษฐ์กิจการ และนายเคอรี เค. ดับบลิว – จุ้ง พยานทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธข้อนี้ ดังนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ใบตราส่งแสดงชื่อผู้รับตราส่งให้เป็นไปตามคำสั่งของธนาคารดากัง เนชั่นแนล อินโดนีเซีย สาขาปอนเตียนัก นายปรีชาให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่า ธนาคารดากัง เนชั่นแนล อินโดนีเซียสาขาปอนเตียนัก ได้สลักหลังใบตราส่งเอกสารหมาย จ.9 ให้แก่ธนาคารเชี่ยงไฮ้ คอมเมอร์เชี่ยลแบงก์ จำกัด (ฮ่องกง) ซึ่งสลักหลังสิทธิตามใบตราส่งให้โจทก์ ซึ่งด้านหลังของเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ปรากฏว่ามีรายการสลักหลังโดยระบุชื่อธนาคารทั้งสองและลายเซ็นซึ่งโจทก์ว่าเป็นลายเซ็นของผู้มีอำนาจของธนาคารทั้งสองเป็นผู้สลักหลัง อีกทั้งมีการระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับสลักหลังด้วยตามถ้อยคำยืนยัน พยานจำเลยทั้ง 2 ปาก มิได้เบิกความปฏิเสธข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้อีกว่า โจทก์เป็นผู้รับสลักหลังใบตราส่งเอกสารหมาย จ.9 และเมื่อโจทก์เป็นผู้รับสลักหลังคนสุดท้ายจึงต้องถือว่าเป็นผู้รับตราส่ง แม้มิได้มีการแสดงชื่อในใบตราส่งว่าเป็นผู้รับตราส่งก็ตามอนึ่ง เนื่องจากสิทธิที่ระบุไว้ในใบตราส่งตกแก่ผู้รับตราส่งมิใช่ตกแก่ผู้ส่ง ผู้ส่งไม่สามารถสลักหลังโอนสิทธิที่ระบุไว้ในใบตราส่งให้แก่ผู้อื่นดังนั้น การที่มีรายชื่อของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทพีที วานา ปันกันอกัง จำกัด จึงไม่ทำให้การสลักหลังขาดสาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ต่อไปเกี่ยวกับประเด็นค่าเสียหาย ในประเด็นนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดเท่ากับราคาสินค้าตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย จ.6ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่โจทก์ชำระไปตามตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.12คือจำนวน 440,392.68 ดอลลาร์สหรัฐ โดยวินิจฉัย จำเลยจะยกข้อจำกัดความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 มาตรา 58 ไม่ได้ อีกทั้งไม่รับฟังข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว โดยศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเห็นว่าเป็นการสืบนอกคำให้การ จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่าประเด็นค่าเสียหายจำเลยได้ให้การต่อศาลไว้แล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่าตามคำให้การของจำเลย จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียก ว่าโจทก์มิให้ผู้เสียหาย เนื่องจากโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ชำระราคาสินค้าและไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงว่าได้ชำระราคาค่าสินค้าตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายและหากโจทก์เสียหายจริง จำเลยก็มีสิทธิจำกัดความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 58ตามข้อต่อสู้ดังกล่าวจำเลยอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ไม่ได้เสียหายหรือถ้าหากเสียหายจำเลยก็สามารถจำกัดความรับผิดได้ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ภายหลังเพียงใดหรือไม่ ตามข้ออ้างในอุทธรณ์จำเลยมิได้กล่าวถึง การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ยอมรับฟังข้อนำสืบของจำเลยข้อนี้จึงชอบแล้ว จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า ความรับผิดของจำเลยต้องมีจำนวนจำกัดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 58ในข้อนี้ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 58บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งว่า ภายใต้บังคับมาตรา 60 ในกรณีที่ของซึ่งผู้ขนส่งได้รับมอบหมายสูญหายหรือเสียหายไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้เพียงหนึ่งหมื่นบาทต่อหนึ่งหน่วยการขนส่งหรือกิโลกรัมละสามสิบบาทต่อน้ำหนักสุทธิแห่งของนั้นแล้วแต่เงินจำนวนใดจะมากกว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่ผู้ขนส่งต้องรับผิดในกรณีที่ของที่ผู้ขนส่งได้รับมอบหมายเกิดสูญหายหรือเสียหายไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งความรับผิดดังกล่าวหมายถึงกรณีเกิดการสูญหายหรือเสียหายแก่ของที่ผู้ขนส่งรับมอบหมาย ส่วนกรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะผู้ขนส่งไม่ยอมส่งมอบของให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับตราส่ง แต่ได้ส่งมอบของดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อซึ่งมิใช่เป็นบุคคลที่มีชื่อแสดงในใบตราส่งว่าเป็นผู้รับตราส่งจึงไม่เข้ากรณีของสูญหายหรือเสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าวเนื่องจากการสูญหายนี้หมายถึงของไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้ขนส่งจะเอามาส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่งได้ตามสัญญา อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นวันทำการในวันที่มีคำพิพากษานั้นยังไม่ชอบด้วยเหตุผล สมควรให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในเวลาที่ใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196″
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่มีการใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันที่มีการใช้เงิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง