แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถแซงรถเครนเข้าไปในทางเดินรถสวนทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่ามีรถจักรยานยนต์และรถยนต์บรรทุกกำลังแล่นสวนทางโดยจำเลยควรใช้ความระมัดระวังขับรถตามรถเครนไปจนกระทั่งรถที่แล่นสวนทางผ่านพ้นไปก่อนจึงขับรถแซงรถเครนขึ้นไป แต่กลับมิได้กระทำเช่นนั้น จึงขับชนกับรถยนต์บรรทุกด้วยความประมาท ซึ่งเพียงพอให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยขับรถแซงรถเครนเข้าไปในทางเดินรถสวนทางโดยไม่ได้ให้สัญญาณใด ๆ โดยไม่บรรยายว่าสัญญาณใด ๆ นั้นคืออะไร ก็หาทำให้ฟ้องเคลือบคลุมไม่ และเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า ด้วยความประมาทนั้น ทำให้รถยนต์บรรทุกทั้งสองคันเสียหายและโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส โจทก์จึงไม่จำต้องระบุข้อความว่าอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไว้อีก ถือว่าครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 แล้ว
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ทั้งโจทก์ร่วมมีส่วนประมาท จึงมิใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 300 ไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 300 พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 , 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสัมฤทธิ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 300 และ พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 โดยไม่ได้บรรยายถ้อยคำอันเป็นองค์ประกอบความผิดลงในฟ้องจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถแซงรถเครนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าไปในทางเดินรถสวนโดยที่เห็นอยู่แล้วว่าในช่องทางดังกล่าวมีรถจักรยานยนต์และรถยนต์บรรทุกกำลังจะแล่นสวนทางกับรถเครนดังกล่าวโดยที่จำเลยควรใช้ความระมัดระวังขับรถตามรถเครนไปจนกระทั่งรถจักรยานยนต์และรถยนต์บรรทุกที่แล่นสวนทางผ่านพ้นไปก่อน เมื่อถนนช่องเดินรถนั้นว่างปลอดภัยแล้ว จึงขับรถแซงรถเครนขึ้นไปแต่จำเลยกลับมิได้กระทำเช่นนั้น จึงทำให้รถคันที่จำเลยขับชนกับรถยนต์บรรทุกนั้นด้วยความประมาท ซึ่งเพียงพอให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยกลับเร่งความเร็วรถแซงรถเครนเข้าไปในทางเดินรถสวนทางโดยไม่ได้ให้สัญญาณใด ๆ นั้น เป็นการขยายความให้เห็นชัดเจนถึงพฤติการณ์การกระทำโดยประมาทของจำเลย แม้โจทก์จะไม่บรรยายว่าสัญญาณใด ๆ นั้น คืออะไร ก็หาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ และเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าด้วยความประมาทนั้น เป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยขับชนกับรถยนต์บรรทุกของโจทก์ร่วมทำให้รถยนต์บรรทุกทั้งสองคันเสียหาย โจทก์ร่วม นายมนตรี นายชัยชาญ และนายสมพรได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องโดยระบุข้อความว่า อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไว้ด้วยอีก คำบรรยายฟ้องของโจทก์ถือว่าครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 แล้ว
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ทั้งโจทก์ร่วมมีส่วนประมาทด้วยเช่นกัน จึงมิใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดตามความ ป.อ. มาตรา 300 ไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติมีกำหนด 3 เดือนต่อครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน และกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตาม ป.อ. มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29 , 30 ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6.