คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9279/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 295 โจทก์และจำเลยที่ 2อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2เท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาตามมาตรา 297 โจทก์จึงฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2ตามมาตรา 297 อีกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ผู้เสียหายเดินเข้าไปพูดห้ามมิให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ติดต่อกับ ส. พี่ชายผู้เสียหายซึ่งเป็นสามีเก่าของจำเลยที่ 2 ต่อหน้าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนรักใหม่ของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ไม่พอใจเพราะเท่ากับเป็นการอ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังคงติดต่อกับ ส. อยู่อาจทำให้จำเลยที่ 1เข้าใจผิดได้ จำเลยที่ 2 จึงด่าว่าผู้เสียหาย ถือว่าผู้เสียหายเป็นผู้เริ่มก่อให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น การที่ผู้เสียหายตบหน้าจำเลยที่ 2 จำนวน 1 ครั้ง และใช้ขวดเปล่าทุบกับโต๊ะจนขวดแตกปลายแหลมคมเป็นอาวุธแทงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2จึงได้ยกหัวเตาแก๊สขึ้นทุ่มใส่ผู้เสียหายและใช้ขวดน้ำอัดลมตีศีรษะ ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกแขนขวาขึ้นรับขวดถูกบริเวณนิ้วก้อยขวา ได้รับบาดเจ็บและขวดน้ำอัดลมตกกระแทกกับโต๊ะแตกกระจาย เศษแก้วกระเด็นขึ้นมาถูกนิ้วกลางขวาของผู้เสียหายมีบาดแผล เลือดไหล การกระทำของจำเลยที่ 2 มีลักษณะติดพันต่อเนื่องกับ การที่ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 ก่อน ถือว่าเป็นการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและกระทำไปพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 4 เดือน ปรับ 4,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ให้คุมประพฤติโดยให้จำเลยที่ 2 รายงานตัวต่อจ่าศาลทุก 3 เดือน ต่อครั้งมีกำหนด1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ดังนี้ เท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาตามมาตรา 297 โจทก์จึงฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 297 อีกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในความผิดฐานนี้ โจทก์คงฎีกาได้เฉพาะข้อหาความผิดตามมาตรา 295 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในความผิดฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าผู้เสียหายเป็นน้องชายของนายสมชัย มาลัยวงษ์นายสมชัยเคยเป็นสามีจำเลยที่ 2 แต่หย่ากันแล้ว จำเลยที่ 1เป็นคนรักใหม่ของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536เวลาประมาณ 18 นาฬิกา ผู้เสียหายพบจำเลยทั้งสองที่ในร้านอาหารแหลมทองของนายสมศักดิ์ ทองโชติ ผู้เสียหายห้ามมิให้จำเลยที่ 2โทรศัพท์ไปหาพี่ชายผู้เสียหายแล้วเกิดการทะเลาะโต้เถียงกันจำเลยที่ 2 ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอโพธิ์ทองว่า ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย ผู้เสียหายถูกดำเนินคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามคดีหมายเลขแดงที่ 1581/2536 ของศาลชั้นต้นส่วนผู้เสียหายร้องทุกข์และดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
คดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยโจทก์ไม่ฎีกา คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 หรือไม่ เห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ในคดีนี้ คงมีตัวผู้เสียหายนายสมพร เต่าทองและนางฉวี เต่าทอง ซึ่งร่วมรับประทานอาหารกับผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุโดยผู้เสียหายเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุพยานไปเข้าห้องน้ำและเดินผ่านโต๊ะที่จำเลยทั้งสองนั่งรับประทานอาหารอยู่พยานจึงเดินเข้าไปบอกจำเลยที่ 2 ว่าพี่ชายของพยานได้สั่งไว้ไม่ให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ไปหาพี่ชายของพยานอีก จำเลยที่ 2 ด่าพยานว่าไอ้สัตว์และว่าพยานไม่ต้องเสือกเรื่องของจำเลยที่ 2 พยานพูดว่าถ้าไม่เชื่อจะได้เห็นดีกันแล้วจำเลยที่ 2 ได้ใช้หัวเตาแก๊สที่ติดตั้งอยู่บนโต๊ะทุ่มใส่ศีรษะพยาน พยานยกแขนขวาขึ้นกั้นแต่กั้นไม่อยู่หัวเตาแก๊สถูกศีรษะด้านหลังของพยานจำเลยที่ 2คว้าขวดน้ำอัดลมขนาด 1 ลิตร ตีพยานซ้ำที่บริเวณศีรษะแต่พยานยกแขนขวาขึ้นรับถูกบริเวณนิ้วก้อย และขวดน้ำอัดลมตกกระแทกกับโต๊ะแตกกระจายเศษแก้วกระเด็นขึ้นมาถูกนิ้วกลางขวาของพยานมีบาดแผลเลือดไหล จากนั้นพยานได้ตรงไปที่จำเลยที่ 2หมายจะตบหน้าแต่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ขวดน้ำอัดลมอีกขวดหนึ่งขว้างพยานถูกบริเวณกลางหลังแล้วเกิดชุลมุนกัน นายสมพรและนางฉวีเบิกความว่าเห็นผู้เสียหายไปยืนคุยอยู่กับจำเลยทั้งสองแต่ไม่สนใจจนกระทั่งได้ยินเสียงขวดแตกจึงหันไปดูเห็นจำเลยที่ 2 กำลังยกหัวเตาแก๊สทุ่มใส่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกแขนขวาขึ้นรับ แล้วจำเลยที่ 2 ถือขวดน้ำอัดลมขนาด 1 ลิตรขว้างใส่ผู้เสียหายถูกบริเวณมือขวาของผู้เสียหายแล้วจำเลยที่ 2วิ่งหนี ผู้เสียหายวิ่งไล่ คำเบิกความของผู้เสียหายขัดแย้งกับที่ผู้เสียหายให้การรับสารภาพในคดีหมายเลขแดงที่ 1581/2536ของศาลชั้นต้นซึ่งผู้เสียหายถูกฟ้องเป็นจำเลยในเหตุการณ์เดียวกันและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยผู้เสียหายรับสารภาพว่าผู้เสียหายใช้มือตบหน้าจำเลยที่ 2 จำนวน 1 ครั้ง แล้วใช้ขวดเปล่าซึ่งทุบแตกปลายแหลมคมเป็นอาวุธทิ่มแทงตีทำร้ายจำเลยที่ 2 ถูกที่บริเวณมือและแขนหลายครั้ง คำเบิกความของผู้เสียหายจึงไม่น่าเชื่อถือ และการที่นายสมพรกับนางฉวีพยานโจทก์มิได้เบิกความถึงเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นก่อนที่นายสมพรและนางฉวีจะหันกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของนายสมพรและนางฉวีที่เบิกความว่าหลังจากได้ยินเสียงขวดแตกแล้วจึงได้หันไปดูเห็นจำเลยที่ 2ยกหัวเตาแก็สทุ่มใส่ที่ศีรษะผู้เสียหายข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายได้เข้าไปพูดห้ามมิให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ไปหาพี่ชายผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 พูดด่าผู้เสียหายและพูดว่าอย่าเสือกไม่ใช่เรื่องของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายโกรธจึงตบหน้าจำเลยที่ 2จำนวน 1 ครั้ง และใช้ขวดเปล่าทุบกับโต๊ะจนขวดแตกปลายแหลมคมเป็นอาวุธแทงจำเลยที่ 2 ก่อน ซึ่งเมื่อนายสมพรและนางฉวีประจักษ์พยานโจทก์หันไปดูจึงเห็นจำเลยที่ 2 กำลังยกหัวเตาแก๊สทุ่มใส่ศีรษะผู้เสียหายและใช้น้ำอัดลมขนาด 1 ลิตร ขว้างใส่ถูกที่บริเวณมือขวาผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นว่าการที่ผู้เสียหายเดินเข้าไปพูดห้ามมิให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ติดต่อกับพี่ชายผู้เสียหายต่อหน้าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนรักใหม่ของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ไม่พอใจเพราะเท่ากับเป็นการอ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังคงติดต่อกับพี่ชายผู้เสียหายซึ่งเป็นสามีเก่าอยู่อาจทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจผิดได้ จำเลยที่ 1จึงด่าว่าผู้เสียหายถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ริเริ่มก่อให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ดังนั้น การที่ผู้เสียหายตบหน้าจำเลยที่ 2 จำนวน1 ครั้ง และใช้ขวดเปล่าทุบกับโต๊ะจนขวดแตกปลายแหลมคมเป็นอาวุธแทงจำเลยที่ 2 มีบาดแผลที่แขนซ้ายยาว 2 เซนติเมตรลึก 0.3 เซนติเมตร ต้องเย็บ 3 เข็ม จำเลยที่ 2 จึงได้ยกหัวเตาแก๊สขึ้นทุ่มใส่ผู้เสียหายและใช้ขาดน้ำอัดลมขนาด 1 ลิตรตีผู้เสียหายที่ศีรษะแต่ผู้เสียหายยกแขนขวาขึ้นรับขวดถูกบริเวณนิ้วก้อยขวาเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บและขวดน้ำอัดลมตกกระแทกกับโต๊ะแตกกระจาย เศษแก้วกระเด็นขึ้นมาถูกนิ้วกลางขวาของผู้เสียหายมีบาดแผลเลือดไหลเช่นนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2มีลักษณะติดพันต่อเนื่องกับการที่ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2ก่อน โดยผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุและจำเลยที่ 2 เป็นหญิงการกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและเป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share