แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยทั้งห้ากับพวกโดยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย กอดปล้ำชกต่อยท้องผู้เสียหาย 2 ครั้ง และช่วยกันจับแขนขาของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่สามารถขัดขืนได้ และผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แม้ไม่ได้บรรยายรายละเอียดว่า จำเลยที่ 5 กระทำการอย่างใดบ้างแต่ก็ถือว่าโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 5 ได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 5 เข้าใจข้อหาได้ดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 15 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน คำให้การของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 10 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมดื่มสุราด้วยกันโดยมีผู้เสียหายและนางสาววิไลพรร่วมวงอยู่ด้วย ต่อมาทั้งหมดพากันไปที่ห้องพักที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 5 เช่าพักอยู่ และจำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายเข้าไปร่วมเพศกันในห้องพักที่เกิดเหตุ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 5 ว่า ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 5 อ้างว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 5 ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยทั้งห้ากับพวกโดยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย กอดปล้ำชกต่อยท้องผู้เสียหาย 2 ครั้ง และช่วยกันจับแขนขาของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่สามารถขัดขืนได้ และผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แม้ไม่ได้บรรยายรายละเอียดว่าจำเลยที่ 5 กระทำการอย่างใดบ้างแต่ก็ถือว่า โจทก์บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 5 ได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 5 เข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายไม่เคลือบคลุมจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 5 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 และที่ 5 อ้างว่าพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ เห็นว่า นอกจากโจทก์จะมีผู้เสียหายมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แล้วโจทก์ยังมีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายมาแสดงสนับสนุนสอดคล้องต้องกันตามที่นำสืบ นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจโทสมเจตน์ พันตำรวจโทฉลาดและพันตำรวจตรีหญิงวลัยพร พนักงานสอบสวนผู้ร่วมสอบสวนผู้เสียหายและนางสาววิไลพรมาเบิกความประกอบยืนยันคำให้การของผู้เสียหายและนางสาววิไลพร ไม่ปรากฏว่าพยานดังกล่าวเคยรู้จักหรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 และที่ 5 มาก่อน เชื่อว่าพยานดังกล่าวเบิกความตามความจริง โดยไม่ได้กลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้ต้องรับโทษ โดยเฉพาะผู้เสียหายเป็นหญิงที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ย่อมต้องใคร่ครวญว่าจะแจ้งความเอาผิดต่อจำเลยที่ 3 และที่ 5 กับพวกหรือไม่ เพราะอาจก่อให้เกิดความอับอายแก่ตนและเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แต่ผู้เสียหายรีบไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนทันทีหลังเกิดเหตุ โดยระบุชื่อจำเลยที่ 3 และที่ 5 ว่าได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดด้วย ผู้เสียหายมีโอกาสเห็นหน้าพูดคุยกับจำเลยที่ 3 และที่ 5 ก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ทั้งยังร่วมดื่มสุราด้วยกันต่อเนื่องมาจนถึงเวลาเกิดเหตุ เช่นนี้ จำเลยที่ 3 และที่ 5 ล้วนเป็นเพื่อนจำเลยที่ 2 ที่ 4 และพวก ก่อนเกิดเหตุร่วมวงดื่มสุราด้วยกันมาตั้งแต่ต้นและเมื่อย้ายวงสุรามาที่อาคารเดียวกับอาคารห้องพักเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 และที่ 5 ก็ตามมาด้วย ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 ร่วมกระทำผิดในคดีนี้จริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมา ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่า ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยที่ 3 ไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มคนที่นั่งอยู่ที่หน้าห้องเกิดเหตุในวันเกิดเหตุและบุคคลที่ลากพยานเข้าไปในห้องและทำการข่มขืนคือกลุ่มคนเดียวกับที่พยานพบนั่งอยู่ที่หน้าห้องเกิดเหตุ ซึ่งไม่มีจำเลยที่ 3 และโจทก์ไม่ได้นำนางสาววิไลพรมาเบิกความพยานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวน หลังเกิดเหตุทันทีว่า หลังจากพยานร่วมเพศกับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 หลับไป พยานได้ยินเสียงกรีดร้องของนางสาววิไลพรจึงเปิดประตูออกมาดูพบจำเลยที่ 3 นั่งอยู่หน้าห้องด้วย พยานมั่นใจว่าระหว่างถูกข่มขืนพยานจำเสียงนายเทา จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 แม้พยานไม่มั่นใจว่าจะจำเสียงได้ แต่ก็มั่นใจว่าจะต้องร่วมกันทำร้ายพยาน เพราะที่เกิดเหตุไม่มีผู้อื่น นอกจากพวกของจำเลยที่ 2 ทั้งหมด โดยจำเลยที่ 3 เบิกความรับเจือสมว่า คืนเกิดเหตุได้พบ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ผู้เสียหายและนางสาววิไลพรได้ร่วมวงดื่มสุราและไปที่หอพักของจำเลยที่ 5 จริง โดยพยานดื่มสุราจนถึงเวลา 6 นาฬิกา ที่ดาดฟ้าซึ่งอยู่อาคารเดียวกันกับห้องเกิดเหตุนั้นเอง คำให้การของผู้เสียหายย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้และที่จำเลยที่ 5 อ้างว่า จำเลยที่ 5 ไม่ได้นั่งอยู่หน้าห้องที่เกิดเหตุ ผู้ที่ร่วมข่มขืนผู้เสียหายมี 4 คน คือ จำเลยที่ 2 ที่ 4 นายวีรยุทธหรือเบียร์และนายเทา ทั้งนางสาววิไลพรก็ไม่ได้ให้การว่า หลังเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยที่ 5 เดินออกมาจากห้องเกิดเหตุด้วย เห็นว่า ผู้เสียหายให้การและเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกันว่า พบจำเลยที่ 5 อยู่ที่หน้าห้องเกิดเหตุและจำเลยที่ 5 ร่วมอยู่ในห้องเกิดเหตุขณะพยานถูกข่มขืน จำเลยที่ 5 เป็นผู้เช่าห้องเกิดเหตุ ผู้เสียหายพบและร่วมดื่มสุรากับจำเลยที่ 5 ทั้งยังร่วมไปซื้อสุราด้วยกันก่อนเกิดเหตุ ทั้งจำเลยที่ 5 เบิกความรับเจือสมว่า คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 5 พบผู้เสียหายกับนางสาววิไลพร รวมทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 5 ร่วมดื่มสุรากับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ที่อาคารหอพักที่เกิดเหตุจริงขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 3 นาฬิกาเศษ อันเป็นเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่พักผ่อนนอนหลับ จำเลยที่ 5 มอบกุญแจห้องเกิดเหตุให้จำเลยที่ 1 ใช้เป็นที่ร่วมเพศกับผู้เสียหาย ย่อมต้องการผลตอบแทนและที่จำเลยที่ 5 อ้างในทำนองว่าผู้เสียหายอาจยินยอมให้ร่วมประเวณีเพราะไม่ปรากฏว่ามีการร้องขอความช่วยเหลือหรือดิ้นรนขัดขืนทั้งไม่พบร่องรอยแผลฉีกขาดหรือช้ำบวมที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย นอกจากนี้เจ้าพนักงานยังไม่ตรวจพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเส้นผม เส้นขน ถุงยางอนามัยหรือคราบอสุจิ ที่ตรวจพบเพื่อใช้พิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 5 เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความว่า ในขณะถูกกระทำชำเรา พยานร้องขอความช่วยเหลือ แต่มีคนเอามือปิดปากไว้และได้ความจากพันตำรวจเอกเสรี พยานโจทก์ว่า ในการตรวจร่างกายและตรวจภายในผู้เสียหาย พบรอยแผลถลอกที่แก้มขวาที่จมูกเล็กน้อย ร่างกายภายนอกทั่วไปไม่มีบาดแผล พบรอยแดงที่ปากช่องคลอด มีร่องรอยบาดแผลเก่าที่เยื่อพรหมจารี เหตุที่ไม่พบร่องรอยบาดแผลใหม่ที่เยื่อพรหมจารี เนื่องจากผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมเพศมาก่อนและการร่วมเพศในครั้งเกิดเหตุผู้เสียหายอาจมีน้ำเมือกมาหล่อลื่นหรือหากชายที่ข่มขืนสวมใส่ถุงยางอนามัยอาจมีสารหล่อลื่นทำให้ช่วยลดการเสียดทานจากการร่วมเพศ นอกจากนี้เจ้าพนักงานกองพิสูจน์หลักฐานเป็นผู้รวบรวมของกลางพบเส้นผมและถุงยางอนามัยในห้องเกิดเหตุ แม้จะไม่ปรากฏว่าการมีส่งเส้นผม ถุงยางอนามัยของกลางและคราบอสุจิที่ตรวจพบไปตรวจพิสูจน์หรือไม่ ก็ไม่เป็นพิรุธหรือทำให้เกิดข้อสงสัยในพยานหลักฐานของโจทก์ดังที่จำเลยที่ 5 อ้าง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน