แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ส่วนของปืนที่จะถือได้ว่าเป็นอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 4ข้อ 1 นั้นต้องเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่ชำรุด เมื่อมีไว้เป็นผิดตามมาตรา 52 ถ้าเป็นส่วนที่ชำรุดเป็นผิดตามมาตรา 57 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต จำเลยรับสารภาพแต่แถลงว่าเป็นปืนชำรุดใช้ยิงไม่ได้เมื่อโจทก์จำเลยไม่สืบพะยานก็ต้องฟังว่าจำเลยมีอาวุธปืนชำรุด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธยืนไว้โดยมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ มาตรา ๕๒
จำเลยให้การรับตามฟ้อง และแถลงว่าปืนของกลางเป็นปืนเก่าแก่และชำรุดเสียหายใช้ยิงไม่ได้แล้ว
โจทก์จำเลยไม่สืบพะยาน ศาลอาญาตรวจดูปืนของกลางแล้วเห็นว่าเป็นปืนเก่าแก่และชำรุดเสียหายมากใช้ยิงไม่ได้ เครื่องประกอบตัวยื่นก็ขาดหายไปเป็นส่วนมาก ส่วนที่เหลือแทบไม่เป็นรูปอาวุธปืน จึงเห็นว่าเป็นปืนชำรุดให้การไม่ได้ เป็นผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนมาตรา ๕๗(ก) แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีปืนชำรุด หรืออ้างบทขอให้ลงโทษตามมาตรา ๕๗ มาด้วย จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๒
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ปรากฎแล้วว่าจำเลยมีอาวุธปืนชำรุด จึงผิดตามมาตรา ๕๗(ก) ที่โจทก์ฎีกาว่าตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนมาตรา ๔ ข้อ ๑ บัญญัติไว้ว่าอาวุธปืนหมายความรวมตลอดถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของปืนด้วยนั้นเป็นความจริง ส่วนใดส่วนหนึ่งของปืนก็ต้องถือว่าเป็นอาวุธปืนตามบทบัญญัติที่กล่าวมาแล้ว แต่ต้องเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่ชำรุดเมื่อเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ชำรุดก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา ๕๗ ซึ่งบัญญัติไว้ฉะเพาะ ส่วนข้อที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ประสงค์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๕๗ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น โจทก์มิได้ฎีกาในข้อนี้ จึงไม่ต้องวินิจฉัย พิพากษายืนตามศาลล่าง