แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 7 ไร่ 38 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ของผู้คัดค้านโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอันเป็นการขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่ผู้ร้องออกจากที่ดิน แต่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องกลับนำสืบอ้างว่าที่ดินที่ครอบครองอยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ที่เช่าจากผู้คัดค้านและเป็นที่ดินที่ตนเองครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำร้องขอ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานโดยนำข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีว่า ที่ดินที่ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองปรปักษ์อยู่นอกเขตที่ดินของผู้คัดค้านและมีการออกโฉนดที่ดินทับที่ดินที่ผู้ร้องครอบครอง แม้ผลแห่งคดีเป็นการยกคำร้องขอของผู้ร้อง ก็เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามคำร้องขอ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (1) ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการวินิจฉัยในปัญหาที่เกี่ยวพันกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องหรือผู้คัดค้าน เห็นว่า เมื่อปัญหาที่ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองที่ดินของผู้คัดค้านเป็นอันตกไปเพราะไม่อาจรับฟังได้ตามคำร้องขอ จึงต้องรับฟังว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 18296 ส่วนปัญหาที่ว่าการออกโฉนดที่ดินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้จะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่เมื่อคำร้องขอของผู้ร้องตกไปเพราะข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ตามคำร้องขอ และปัญหาเรื่องการออกโฉนดที่ดินชอบหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 18296 และการออกโฉนดทับที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครอง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำร้องขอ
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินเฉพาะส่วน เนื้อที่ 7 ไร่ 38 ตารางวา ของที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน แก้ไขคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอและฟ้องแย้งขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องกับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ คืนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านในสภาพเรียบร้อย และห้ามผู้ร้องและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินต่อไป รวมทั้งชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้คัดค้านในอัตราปีละ 12,500 บาท นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2553 จนกว่าผู้ร้องและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินให้แก่ผู้คัดค้าน
ผู้ร้องยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องขอและยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7 ไร่ 38 ตารางวา อยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ของผู้คัดค้าน ให้ผู้ร้องและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทในสภาพเรียบร้อย ห้ามผู้ร้องและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป กับให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้คัดค้านในอัตราปีละ 3,500 บาท นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2553 จนกว่าผู้ร้องและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับให้ผู้ร้องใช้ค่าธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งทั้งสองศาลแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นที่ยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เนื้อที่ 24 ไร่ 2 งาน 3 ตารางวา ต่อมาเดือนมีนาคม 2553 มีการรังวัดสอบเขตที่ดินพบว่าที่ดินมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 30 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 18296 และการออกโฉนดที่ดินมีการออกทับที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครอง เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำร้องหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 7 ไร่ 38 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ของผู้คัดค้านอย่างสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ อันเป็นการขอแสดงสิทธิในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่ผู้ร้องออกจากที่ดิน แต่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องกลับนำสืบอ้างว่าที่ดินที่ครอบครองอยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 18296 ที่เช่าจากผู้คัดค้านและเป็นที่ดินที่ตนเองครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำร้องขอ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานโดยนำข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีว่า ที่ดินที่ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองปรปักษ์อยู่นอกเขตที่ดินของผู้คัดค้านและมีการออกโฉนดที่ดินทับที่ดินที่ผู้ร้องครอบครอง แม้ผลแห่งคดีเป็นการยกคำร้องขอของผู้ร้อง ก็เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามคำร้องขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (1) ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการวินิจฉัยในปัญหาที่เกี่ยวพันกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องหรือของผู้คัดค้านนั้น เห็นว่า เมื่อปัญหาตามที่ผู้ร้องอ้างว่า ครอบครองที่ดินของผู้คัดค้านเป็นอันตกไปเพราะเหตุไม่อาจรับฟังได้ตามคำร้องขอ จึงต้องรับฟังว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 18296 ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่า ปัญหาว่าการออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่า เมื่อคำร้องขอของผู้ร้องเป็นอันตกไปเพราะข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ตามคำร้องขอและปัญหาเรื่องการออกโฉนดที่ดินชอบหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 18296 และการออกโฉนดที่ดินมีการออกทับที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครอง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำร้องขอ สำหรับฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องเป็นการยกข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องมิได้ครอบครองที่ดินของผู้คัดค้านซึ่งไม่ใช่กรณีที่จะอ้างถึงการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาทั้งในส่วนคำร้องและฟ้องแย้งให้เป็นพับ