แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่นนั้นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 10 กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ชี้ขาดศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหามีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไม่ และปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือศาลฎีกา เมื่อขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจส่งสำนวนไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าสำนักงานส่วนอำเภอบ้านตากได้แจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนมายังโจทก์โดยกำหนดค่ารายปีเป็นเงินจำนวน1,224,000 บาท เป็นเงินค่าภาษีจำนวน 51,000 บาท โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ใหม่ โดยให้โจทก์เสียตามข้อเท็จจริงเป็นเงิน4,080 บาท ต่อมาอำเภอบ้านตากแจ้งผลการประชุมพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบ โดยให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 51,000 บาท และเงินเพิ่มอีกจำนวน 2,550 บาท รวมเป็นเงิน53,580 บาท โจทก์นำเงินไปชำระและเห็นว่า การประเมินและคำชี้ขาดดังกล่าวไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองที่ให้โจทก์เสียภาษีจำนวน 51,000 บาท รวมทั้งเงินเพิ่ม 2,550 บาทให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินให้โจทก์จำนวน 49,470 บาทพร้อมดอกเบี้ย
ชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นการส่วนตัวเพียงแต่บรรยายว่าจำเลยทั้งสองมีตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างไร ไม่ได้ระบุแจ้งชัดว่าฟ้องในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงไม่อาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ได้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2เพื่อพิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาคดีศาลชั้นต้นจะต้องส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาคดีตามที่โจทก์อุทธรณ์ และศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วการที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 10 มกราคม2538 ว่า ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่ถูกต้องพิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 10มกราคม 2538 แล้วดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาเพื่อพิพากษาต่อไป
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์คำร้องภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำเลยทั้งสองประเมินให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินเกินความเป็นจริง โดยโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองที่สั่งให้โจทก์ชำระภาษีอากรและเงินเพิ่ม กับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินภาษีอากรพร้อมดอกเบี้ย แต่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วให้ยกฟ้องเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่น ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 10 กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ชี้ขาดศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหามีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไม่คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายข้างต้น และเมื่อปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรหรือศาลชั้นต้นขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามบทกฎหมายดังกล่าวต่อไป”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือไม่ เมื่ออ่านคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาดังกล่าวแล้ว ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป