แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ผู้คัดค้านที่1จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่ธนาคารก.ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแต่เมื่อผู้คัดค้านที่1ได้ไถ่ถอนจำนองโดยชำระหนี้ให้แก่ธนาคารก.ผู้รับจำนองเดิมถูกต้องครบถ้วนแล้วบุริมสิทธิจำนองของธนาคารก.ที่มีอยู่เหนือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา744(4)การที่ผู้คัดค้านที่1ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่ผู้คัดค้านที่2ในวันเดียวกันกับที่ไถ่ถอนจำนองดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นการจำนองรายใหม่หาใช่เป็นการโอนสิทธิจำนองหรือรับช่วงสิทธิจากการจำนองรายเดิมแต่อย่างใดไม่ดังนั้นแม้การที่ผู้คัดค้านที่2ได้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนเพียงใดก็ตามแต่เมื่อการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่1กระทำโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนภายในระยะเวลาสามปีก่อนขอให้ลูกหนี้ล้มละลายซึ่งศาลเพิกถอนได้แล้วและการจำนองดังกล่าวได้กระทำภายหลังจากที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายผู้คัดค้านที่2จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา116 ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอนก็ยังถือว่าเป็นการโอนที่ชอบอยู่กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านที่1ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องลูกหนี้ (จำเลย) ขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2533 และพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2534 ขณะนี้ยังไม่พ้นภาวะล้มละลาย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 3มีนาคม 2531 ลูกหนี้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 22204พร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเลขที่ 347 หมู่ที่ 6 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา และผู้คัดค้านที่ 1 นำไปจดทะเบียนจำนองแก่ผู้คัดค้านที่ 2 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2532 ซึ่งการโอนระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 เป็นการโอนทรัพย์สินในระหว่างสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยไม่มีค่าตอบแทน และผู้คัดค้านที่ 1 รู้ถึงภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของลูกหนี้เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและการจำนองได้กระทำภายหลังมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่22204 พร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเลขที่ 347 หมู่ที่ 6 ระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ให้กลับสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2ร่วมกันใช้ราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำนวน 778,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท ผู้คัดค้านที่ 1 และพี่น้องรวม 4 คน ซึ่งเป็นบุตรของลูกหนีช่วยกันออกเงินซื้อโดยใส่ชื่อลูกหนี้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จนกระทั่งปี 2531 ลูกหนี้สุขภาพไม่ดีจึงตกลงเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นผู้คัดค้านที่ 1 และเดิมที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัด แต่ดอกเบี้ยสูงจึงเปลี่ยนไปจำนองแก่ผู้คัดค้านที่ 2 แทน ลูกหนี้ไม่มีส่วนได้และไม่ได้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ลูกหนี้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อนมีการขอให้ล้มละลายเป็นการโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเพราะเดิมที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทติดจำนองอยู่แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัด ซึ่งผู้คัดค้านที่ 1 ต้องรับผิดชอบชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองต่อมาแล้วผู้คัดค้านที่ 1 ได้นำมาจดทะเบียนจำนองแก่ผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกที่กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน หากศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการจำนอง ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่จำต้องร่วมรับผิดใช้ราคาเพราะผู้คัดค้านที่ 2 มีฐานะเป็นเพียงเจ้าหนี้บุริมสิทธิในอันที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองได้ก่อนเจ้าหนี้สามัญเท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่22204 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 347 ระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ให้กลับสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคา 778,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอน (26 มิถุนายน 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จเพื่อรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลาย คำขออื่นให้ยกเสีย
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายเมื่อวันที่29 กันยายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2533 และพิพากษาให้ลูกหนี้ละลายตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2534 ขณะนี้ลูกหนี้ยังไม่พ้นภาวะล้มละลายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2531 ลูกหนี้ได้โอนให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามเอกสารหมาย ร.3 และ ร.4 แก่ผู้คัดค้านที่ 1 บุตรของลูกหนี้โดยเสน่หา ซึ่งเป็นการโอนทรัพย์สินในระหว่างสามีปีก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายโดยไม่สุจริตหลังจากผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแล้วได้นำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2531 ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2532ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากธนาคารกรุงไทย จำกัด แล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ในวันเดียวกัน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัคค้านที่ 2 ในชั้นนี้ว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ไถ่ถอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากธนาคารกรุงไทย จำกัดซึ่งรับจำนองไว้ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วนำไปจำนองจดทะเบียนไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ในวันเดียวกันเป็นการโอนสิทธิจำนองหรือรับช่วงสิทธิซึ่งผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116 หรือไม่ เห็นว่าแม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย แต่เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองโดยชำระหนี้ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้รับจำนองเดิมถูกต้องครบถ้วนแล้วบุริมสิทธิจำนองของธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่มีอยู่เหนือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทย่อมระงับสิ้นไป ตามนัยมาตรา 744 (4)แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ในวันเดียวกันกับที่ไถ่ถอนจำนองดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการจำนองรายใหม่ หาใช่เป็นการโอนสิทธิจำนองหรือรับช่วงสิทธิจากการจำนองรายเดิมแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น แม้การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 กระทำโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนภายในระยะเวลาสามปีก่อนขอให้ลูกหนี้ล้มละลายซึ่งศาลเพิกถอนได้แล้ว และการจำนองดังกล่าวได้กระทำภายหลังจากที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ดอกเบี้ยในราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทนับแต่วันยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอนก็ยังถือว่าเป็นการโอนที่ชอบอยู่กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2