แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 และ 337 ศาลอาญาสั่งประทับฟ้องโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีอยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลอาญาสั่งว่า กรณีไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ คำสั่งเช่นนี้ไม่ใช่คำสั่งในประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เพียงแต่ให้นัดสืบพยานโจทก์เพื่อเริ่มการพิจารณาเท่านั้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 337, 83 และ 90 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ กับตัดฟ้องว่า ความผิดฐานกรรโชกและทำให้เสียเสรีภาพ อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอง
ศาลชั้นต้นสั่งว่า การกระทำของจำเลยตามที่ไต่สวน เป็นการกระทำอย่างเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 36 ส่วนกรณีที่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 36 นั้นศาลจะได้รวมสั่งหรือพิพากษาเมื่อมีคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ อ้างว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นในข้อตัดฟ้องของจำเลยเป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นสำคัญว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลอาญา และศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้อง พิจารณาพิพากษาต่อไป จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นสำคัญแห่งคดีอยู่ที่ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง เพียงแต่ให้นัดสืบพยานโจทก์เพื่อเริ่มการพิจารณาเท่านั้น จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
พิพากษายืน