คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920-921/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์หรือภริยาโจทก์นำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) มาให้จำเลยเช่าสัญญาเช่าเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่เรียกเอาค่าเช่าหรือค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่าที่ดินแปลงพิพาทอยู่ในเขตที่สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์และผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ได้ประกาศสงวนหวงห้ามไว้ใช้ในราชการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2472 และ พ.ศ. 2473 เมื่อปี พ.ศ. 2502 นางเลียบมารดานางบุญชูภรรยาโจทก์ได้ไปยื่นคำขอต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ขอให้ออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่นางเลียบ แต่ทางราชการยังไม่ออกให้จนบัดนี้ เหตุที่ทางราชการยังไม่ออกโฉนดให้ ได้ความจากบันทึกเรื่องการปรับปรุงที่ดินบริเวณหวงห้ามตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ที่กรมธนารักษ์ส่งไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ตามหนังสือด่วนมากที่ กค.0403/49ลงวันที่ 5 มกราคม 2519 (เอกสารหมาย ล.1) และหนังสือกรมที่ดินมีถึงโจทก์กับพวกที่ มห.0607/4061 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2519 (เอกสารหมาย ล.1) ว่าเป็นเพราะคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุง ผู้ซึ่งกระทรวงมหาดไทยตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้พิจารณาในชั้นต้น ถือหลักว่าหากผู้ขอออกโฉนดรายใดมีเอกสารหลักฐานโดยชัดแจ้งว่าได้มีการครอบครองที่ดินมาก่อนการสงวนหวงห้ามของทางราชการแล้ว ก็จะพิจารณาออกโฉนดให้โดยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ถ้าคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ออกโฉนดแก่ผู้ขอรายใดแล้ว กรมที่ดินจึงจะออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ขอรายนั้นได้หากคำขอรายใด เอกสารหลักฐานยังไม่ชัดแจ้ง คณะกรรมการก็จะรอการพิจารณาคำขอออกโฉนดรายนั้น ๆ ไว้ก่อนจนกว่าผู้ขอจะสามารถนำหลักฐานเอกสารมาแสดงเพิ่มเติมใหม่ ปรากฏว่าที่ดินแปลงพิพาทนี้ผู้ขอออกโฉนดยังไม่มีหลักฐานเอกสารที่ชัดแจ้งว่าได้ครอบครองมาก่อนการสงวนหวงห้ามจึงยังไม่อาจออกโฉนดให้ได้ และประกาศหวงห้ามดังกล่าวข้างต้น ก็ได้มีมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2516 ให้คงสภาพหวงห้ามไว้ตามเดิมกับมีมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2518 อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคือมอบหมายให้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้มีอำนาจดูแลรักษาตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 จัดและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยให้ผู้ที่ขอรังวัดรับโฉนด ซึ่งปรากฏตามหลักฐานการสอบสวนว่าเป็นผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินมาเป็นเวลานานนับสิบปีกระทบกระเทือนน้อยที่สุด ฉะนั้นที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์มีหนังสือซื้อขายที่ดินที่นายสำเสงขายที่ดินของตนให้แก่โรงเรียนจีนยี่ห้อตงฮั้ว เมื่อวันที่ 17 มีนาคม2463 (เอกสารหมาย จ.2 หรือ จ.5) เป็นพยานหลักฐาน ตามหนังสือซื้อขายฉบับนี้ ระบุว่าที่ดินของนายสำเสงทางด้านตะวันตกติดกับที่ดินของนางสมบุญซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทคนเดิมแสดงว่าที่ดินแปลงพิพาทมีการครอบครองมาก่อนประกาศหวงห้ามนั้น จึงหาเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในคดีนี้ไม่ ชอบที่โจทก์จะนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปแสดงต่อคณะกรรมการหรือส่วนราชการผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการพิจารณาออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ต่อไปศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อที่ดินแปลงพิพาทอยู่ในเขตที่ดินที่สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์และผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ประกาศหวงห้ามไว้ใช้ในราชการดังกล่าวข้างต้น และทางราชการยังไม่ได้ออกโฉนดให้แก่โจทก์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(3) การที่โจทก์หรือนางบุญชูภรรยาโจทก์นำมาให้จำเลยเช่า สัญญาเช่าจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่เรียกเอาค่าเช่าหรือค่าเสียหายจากจำเลยได้ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2701-2702/2517 คดีระหว่างนายปลั่ง โพธิ์อ่อน โจทก์ นายยศ ชนะภัย กับพวก จำเลย ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share