คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9193/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้ทรัพย์ที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักจะเป็นพระพุทธรูปและอยู่ในวัดผู้เสียหายแต่ได้ความว่าพระพุทธรูปดังกล่าวเก็บไว้ในศาลาบำเพ็ญกุศลหลังเก่าซึ่งเห็นได้ชัดตามภาพถ่ายว่าอยู่ในสภาพที่ถูกปล่อยทิ้งร้างและรกรุงรัง มิได้จัดวางไว้ในที่เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนไปสักการบูชาแต่ประการใด รวมทั้งเครื่องบูชาใด ๆ ไม่มีปรากฏให้เห็นจึงยังถือไม่ได้ว่าพระพุทธรูปดังกล่าวเป็นที่สักการบูชาของประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก ดังนี้ แม้จำเลยจะได้ร่วมกับพวกลักพระพุทธรูปดังกล่าวภายในวัดผู้เสียหาย ก็ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 ทวิ วรรคสอง ทั้งศาลาบำเพ็ญกุศลมีไว้เพื่อใช้จัดงานพิธีศพจึงมิใช่สถานที่บูชาสาธารณะตาม ป.อ. 335 (9) การกระทำของจำเลยจึงคงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมตาม ป.อ. 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 335 ทวิ วรรคสอง, 336 ทวิ ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 5,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ วรรคสอง ประกอบมารตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 7 ปี 6 เดือน คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 5,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายมานิตย์หรืออิ๊ด กับพวก ร่วมกันลักพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 30 นิ้ว สูง 32 นิ้ว อายุ 50 ปี ราคา 5,000 บาท ของวัดโพพระนอกผู้เสียหายที่เก็บรักษาไว้ในศาลาบำเพ็ญกุศล โดยใช้รถกระบะที่จำเลยจัดหามาเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด การพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ขณะลักทรัพย์จำเลยอยู่กับนายมานิตย์และพวกในที่เกิดเหตุด้วย คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยร่วมกับนายมานิตและพวกลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือไม่ ฎีกาของจำเลยที่ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของนายมานิตย์และนายสุพีระหรือเน็ต เป็นคำซัดทอด จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และโจทก์ไม่ได้นำนายสุพีระมาเป็นพยานในชั้นพิจารณา ทั้งตามคำเบิกความของนายมานิตย์ก็ฟังได้ว่า นายมานิตย์มีเจตนาที่จะหลอกให้จำเลยเอารถกระบะไปขนพระพุทธรูปจากวัดผู้เสียหายมาตั้งแต่แรกกับบอกให้จำเลยทราบว่าเจ้าอาวาสต้องการให้นำพระพุทธรูปไปลงรักปิดทอง โดยจำเลยมิได้ล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของนายมานิตย์ที่ต้องการลักพระพุทธรูปและมิได้รับส่วนแบ่งจากการนำพระพุทธรูปไปขาย ส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นเพียงการยอมรับว่าได้ร่วมไปกับนายมานิตย์จริง แต่มิได้ยอมรับว่าร่วมกระทำความผิดกับนายมานิตย์ด้วยนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 219 วรรคสอง ประกอบพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23
อนึ่ง แม้ทรัพย์ที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักจะเป็นพระพุทธรูปและอยู่ในวัดผู้เสียหาย แต่ได้ความว่าพระพุทธรูปดังกล่าวเก็บไว้ในศาลาบำเพ็ญกุศลหลังเก่าซึ่งเห็นได้ชัดตามภาพถ่ายหมาย จ.8 และ จ.9 ว่าอยู่ในสภาพที่ถูกปล่อยทิ้งร้างและรกรุงรังมิได้จัดวางไว้ในที่เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนไปสักการบูชาแต่ประการใด รวมทั้งเครื่องบูชาอย่างใด ๆ ไม่มีปรากฏให้เห็นจึงยังถือไม่ได้ว่าพระพุทธรูปดังกล่าวเป็นที่สักการบูชาของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก ดังนี้ แม้จำเลยจะได้ร่วมกับพวกลักพระพุทธรูปดังกล่าวภายในวัดผู้เสียหาย ก็ไม่เป็นความผิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ วรรคสอง ทั้งศาลาบำเพ็ญกุศลมีไว้เพื่อใช้จัดงานพิธีศพ จึงมิใช่เป็นสถานที่บูชาสาธารณะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (9) การกระทำของจำเลยจึงคงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปและโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 เท่านั้น ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215, 225 และเมื่อผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขโทษให้เหมาะสมด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 6 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง แล้ว คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share