คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9188/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 39,130 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 34,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 34,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 5,130 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 39,130 บาท คดีของโจทก์จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ คงมีเพียงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ซึ่งในชั้นฎีกา ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และบุคคลผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาได้ตามมาตราดังกล่าวก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่าคือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ดังนี้ จึงไม่อาจนำบทบัญญติว่าด้วยผู้มีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 34,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 5,130 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริง อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 มีคำสั่งว่า มีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงได้ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 39,130 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 34,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 34,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 5,130 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 39,130 บาท คดีของโจทก์จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ คงมีเพียงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ซึ่งในชั้นฎีกาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และบุคคลผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาได้ตามมาตราดังกล่าวก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่าคือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติว่าด้วยผู้มีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มา จึงไม่เป็นการชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับแต่มิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้น เป็นการไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนและค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ

Share