แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกฟ้องว่าจดข้อความที่รู้ว่าเท็จในรายงานชันสูตรพลิกศพ ว่าผู้ตายผูกคอตายเองไม่มีใครทำให้ตาย แต่ความจริงจำเลยสมคบกันฆ่าผู้ตาย ตาย และถูกฟ้องอีกสำนวนหนึ่ง ว่าจำเลยสมคบกันฆ่าผู้ตาย ตาย เมื่อศาลพิจารณาคดีสองสำนวนรวมกัน ดังนี้
เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยสมคบกันฆ่าผู้ตาย ฟังไม่ได้แล้ว ข้อกล่าวหาว่าจดรายงานเท็จก็ตกไปด้วยไม่จำต้องพิจารณาต่อไป
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลได้พิจารณาพิพากษารวมกันมา สำนวนแรกโจทก์ฟ้องหาว่า จ.ส.ต.อั้นจำเลย ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปทำการชันสูตรพลิกศพนายอยู่ซึ่งมีผู้มาแจ้งว่าผูกคอตาย จำเลยได้บังอาจจดข้อความที่รู้อยู่ว่าเป็นความเท็จลงในรายงานชันสูตรพลิกศพว่า “นายอยู่ผูกคอตายเอง หามีผู้ใดทำให้ตายไม่” ซึ่งความจริงจำเลยกับพวกได้สมคบกันฆ่านายอยู่ โดยแขวนคอให้ตาย ขอให้ลงโทษตามมาตรา 222, 229 และ 230 สำนวนหลังโจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันฆ่านายอยู่ตาย ขอให้ลงโทษตามมาตรา 249,250
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายส่วนเรื่องจดบันทึกเท็จนั้นพิพากษายืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ ว่าจำเลยได้สมคบกันฆ่านายอยู่ตาย และเมื่อข้อหาในเรื่องสมคบกันฆ่านายอยู่ ฟังไม่ได้แล้ว ข้อหาในสำนวนกล่าวหา จ.ส.ต.อั้นผู้เดียวก็เป็นอันตกไปด้วยโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาต่อไปพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน