แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย กำหนดห้ามมิให้ลูกจ้างก่อการวิวาท ทำร้ายร่างกาย พูดหยาบ ตลอดจนส่งเสียงอื้ออึงโดยไม่จำเป็นก็ตาม แต่ระเบียบดังกล่าวก็มิได้กำหนดว่าการฝ่าฝืนจะถือเป็นกรณีร้ายแรงประการใด การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยชกต่อยลูกจ้างด้วยกัน ก็เนื่องจากคู่กรณีพูดให้ของลับโจทก์ก่อน และไม่ปรากฏว่าคู่กรณีได้รับบาดเจ็บจึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นกรณีร้ายแรงที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างจะมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทะเลาะวิวาทกับคนงานอื่น ซึ่งเป็นการผิดวินัยไม่ร้ายแรงจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และไม่จ่ายค่าชดเชยเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหาย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุที่เลิกจ้าง เพราะโจทก์ทะเลาะวิวาทกับคนงานอื่น และชกต่อยคู่กรณีจนได้รับบาดเจ็บ เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง จึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยเสียหาย จึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากโจทก์ และขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 12,690 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1,339.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกนั้นและฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงและเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นอยู่ในตัว จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ว่าด้วยวินัยและการลงโทษทางวินัย ข้อ 7.1.2กำหนดห้ามไม่ให้ลูกจ้างของจำเลยก่อการวิวาททำร้ายร่างกายกัน พูดหยาบตลอดจนส่งเสียงอื้ออึงโดยไม่จำเป็นก็ตาม แต่ตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าวก็มิได้กำหนดว่าการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวเป็นกรณีร้ายแรงประการใด เหตุที่เกิดขึ้นโจทก์มิได้เป็นฝ่ายก่อขึ้นก่อนและโจทก์ชกนายสุเทพไปเพียงทีเดียว สาเหตุเนื่องมาจากนายสุเทพพูดให้ของลับโจทก์ก่อน และไม่ปรากฎว่านายสุเทพได้รับบาดเจ็บ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นกรณีร้ายแรงที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)
ที่จำเลยอุทธรณ์ประการที่สองว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนนั้น ต้องเป็นกรณีที่สามารถกระทำได้ด้วยแต่โจทก์ก่อเหตุวิวาทททำร้ายร่างกายผู้อื่นซ้ำกัน 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันไม่ถึงชั่วโมง จึงเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยไม่อาจออกหนังสือตักเตือนได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของโจทก์ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ประการหนึ่งประการใดที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน.