แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบได้1ปากแล้วแถลงว่าพยานอื่นไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้องขอเลื่อนหากนัดหน้ามีพยานมาศาลเพียงใดก็ติดใจสืบเพียงเท่าที่มาศาลครั้นถึงวันนัดต่อมาจำเลยนำพยานเข้าสืบได้1ปากแล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานที่เหลือนัดหน้าหากพยานมาศาลเท่าใดก็จะติดใจสืบเท่าที่มาศาลศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอนุญาตให้สืบพยานจำเลยต่อไปอีกตามที่ขอโดยกำชับว่านัดหน้ามีพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงเท่านั้นครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยขอถอนตัวจำเลยแถลงว่ายังหาทนายคนใหม่ไม่ได้ประกอบกับพยานที่ขอหมายเรียกไว้ไม่มาศาลขอเลื่อนศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยอีกนัดหนึ่งโดยกำชับให้แต่งทนายคนใหม่เข้ามาให้พร้อมและหากมีพยานมาศาลเพียงใดก็ให้สืบเพียงเท่านั้นจะไม่ให้เลื่อนคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดๆอีกครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยได้อีก1ปากแล้วจำเลยแถลงขอเลื่อนและส่งประเด็นไปสืบบ. ให้ที่ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะอนุญาตอีกดังนั้นจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ได้แถลงไว้ต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้าทั้งเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยอ้างก็เป็นเอกสารในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องอ. ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจำเลยก็ได้นำอ. มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้วส่วนว. และบ. ให้นั้นจำเลยประสงค์จะนำสืบเพียงว่าเป็นผู้ที่อ. แนะนำให้กู้เงินจากม. ด้วยหาได้รู้เห็นในการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับม. แต่อย่างใดไม่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมายจ.1ที่โจทก์นำมาฟ้องคือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับม. ใช่หรือไม่จึงไม่ได้เป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยินหรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา95(2)ศาลจึงมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสียได้ตามมาตรา86วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536 จำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท และได้รับเงินไปแล้วในวันทำสัญญาโดยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนวันที่ 4 มิถุนายน 2536 ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 212,500 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์ แต่เคยกู้เงินจากนางมาริสา ไม่ทราบนามสกุล ผ่านทางนางนวลอนงค์ งามพัตรา2 ครั้ง กล่าวคือเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2535 จำนวน 20,000 บาทและวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2536 อีกจำนวน 20,000 บาท โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินท้ายฟ้องที่ยังมิได้กรอกข้อความโจทก์นำสัญญากู้เงินดังกล่าวไปกรอกข้อความและลงจำนวนเงินสูงกว่าที่จำเลยกู้ไป สัญญากู้เงินจึงเป็นเอกสารปลอมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง(วันที่ 14 กรกฎาคม 2536) ต้องไม่เกิน 12,500 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังยุติได้ว่าจำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จริงปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปตามสัญญากู้เงินดังกล่าวจริงหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จริง หาใช่โจทก์นำสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับนางสาวมาริสามากรอกข้อความเอาเองดังที่จำเลยต่อสู้ไม่
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานบุคคลคือนายวสันต์ เจียมพูนทรัพย์และนายบุญให้ ถาวร มาสืบทำให้จำเลยไม่สามารถนำเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยระบุอ้างเป็นพยานไว้แล้วส่งเป็นพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยของศาลได้ชอบหรือไม่เห็นว่าในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบได้ 1 ปากแล้วแถลงว่า พยานอื่นไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง ขอเลื่อนหากนัดหน้ามีพยานมาศาลเพียงใดก็ติดใจสืบเพียงเท่าที่มาศาลครั้นถึงวันนัดต่อมาจำเลยนำพยานเข้าสืบได้ 1 ปาก แล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานที่เหลือนัดหน้าหากพยานมาศาลเท่าใดก็จะติดใจสืบเท่าที่มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอนุญาตให้สืบพยานจำเลยต่อไปอีกตามที่ขอโดยกำชับว่านัดหน้ามีพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงเท่านั้น ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยขอถอนตัวจำเลยแถลงว่ายังหาทนายคนใหม่ไม่ได้ ประกอบกับพยานที่ขอหมายเรียกไว้ไม่มาศาล ขอเลื่อน ศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยอีกนัดหนึ่งโดยกำชับให้แต่งทนายคนใหม่เข้ามาให้พร้อมและหากมีพยานมาศาลเพียงใดก็ให้สืบเพียงเท่านั้น จะไม่ให้เลื่อนคดีไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ อีก ครั้นถึงวันนัด สืบพยานจำเลยได้อีก 1 ปากแล้วจำเลยแถลงขอเลื่อนและส่งประเด็นไปสืบนายบุญให้ที่ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะอนุญาตอีกเห็นได้ว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ได้แถลงไว้ต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้าทั้งเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยอ้างก็เป็นเอกสารในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางอังคณาในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจำเลยก็ได้นำนางอังคณามาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้วส่วนนายวสันต์และนายบุญให้นั้นจำเลยประสงค์จะนำสืบเพียงว่าเป็นผู้ที่นางอังคณาแนะนำให้กู้เงินจากนางสาวมาริสาด้วยหาได้รู้เห็นในการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับนางสาวมาริสาแต่อย่างใดไม่ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1ที่โจทก์นำมาฟ้องคือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับนางสาวมาริสาใช่หรือไม่ จึงไม่ได้เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95(2) ศาลจึงมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสียได้ตาม มาตรา 86 วรรคสองคำสั่งศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน