คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เข้าไปยึดถือครอบครองโดยมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 กล่าวคือมิได้ขออนุญาตจับจองและได้รับอนุญาตให้จับจองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ถึงแม้ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคแรก จะบัญญัติให้ผู้ที่ได้ครอบคอรงที่ดินและทำประโยชน์อยู่ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินแจ้งการครอบครอง และโจทก์ได้แจ้งการครอบครองแล้วก็ตาม แต่โจทก์ได้แจ้งการครอบครองว่าได้ที่พิพาทโดยหักล้างถางพงเอาเอง การแจ้งการครอบครองของโจทก์จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ ต้องถือว่าที่ดินยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) การที่จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง อันถือว่าเป็นการกระทำของรัฐโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเอาค่าชดเชยที่ดินจากจำเลย
การที่จำเลยแจ้งว่าสมควรจะจ่ายเงินทดแทนให้โจทก์ แต่ให้รอไว้ก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ทางราชการประสงค์จะบรรเทาความเดือดร้อนให้โจทก์ มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมี ส.ค.๑ อยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลบางพระอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๐ ไร่ โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในท้องที่ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ.๒๔๙๙ ให้อำนาจจำเลยเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับนิคมซึ่งจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกานี้ ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว โจทก์มิได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์เพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินให้โจทก์ในราคาไร่ละ ๔,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นโจทก์ได้ติดตามขอรับเงินค่าชดเชยจากจำเลยจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยให้ทางอำเภอศรีราชารับรองสิทธิในที่ดินของโจทก์ก่อน เมื่อทางอำเภอรับรองสิทธิของโจทก์แล้ว จำเลยก็ยังไม่จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทตามฟ้องเป็นที่สาธารณะ จำเลยเข้าครอบครองที่ดินเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองโจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยที่ดินจากจำเลย ที่ดินตาม ส.ค.๑ ที่โจทก์อ้างอยู่ในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตหวงห้ามเพียงบางส่วน มีจำนวนเพียง ๒๔ ไร่ ๑ งาน ๖๐ ตารางวา มีราคาเพียง ๙๑,๖๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทมีเนื้อที่เพียง ๒๔ ไร่ ๑ งาน ๖๐ ตารางวา โจทก์มีสิทธิครอบครอง มิใช่ที่สาธารณะ พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๙๗,๖๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยที่ดินจากจำเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนที่โจทก์จะเข้าไปทำสวนปลูกมันสำปะหลังที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๑) การที่จะเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว ในขณะนั้นมีพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๔๗๙ กำหนดวิธีการไว้ว่าจะต้องขอจับจองและได้รับอนุญาตให้จับจองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่อนุญาตให้จับจองได้แล้วก็จะออกใบเหยียบย่ำหรือตราจองให้ แต่ได้ความตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท (เอกสาร จ.๑) ว่า เมื่อโจทก์ไปแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้น โจทก์แจ้งว่าได้ที่ดินพิพาทมาโดยการหักร้างถางพงเอาเอง จึงฟังได้ว่าโจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แม้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๕ วรรคแรก จะบัญญัติให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่และโจทก์ก็ได้แจ้งแล้วตามเอกสารหมาย จ.๑ ก็ตาม แต่ตามวรรคท้ายของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามวรรคแรกนั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใด ฉะนั้น จึงต้องถือว่าที่พิพาทยังคงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๔ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่เช่นเดิม หาใช่ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินค่าชดเชยจากจำเลยซึ่งได้เข้าครอบครองที่ดินตามอำนาจและหน้าที่กำหนดไว้ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในท้องที่ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ.๒๔๙๙ อันถือว่าเป็นการกระทำของรัฐ การที่จำเลยแจ้งต่อนายอำเภอศรีราชาว่าที่ดินที่พิพาทมีหลักฐานการครอบครองถูกต้องสมควรจะจ่ายเงินทดแทนให้ แต่ให้รอการจ่ายไว้ก่อนตามเอกสารหมาย จ.๑๒ นั้น เป็นเรื่องที่ทางราชการประสงค์จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายให้แก่โจทก์ มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยตามกฎหมาย
พิพากษายืน

Share