แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเป็นคนต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทาง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 11 กับเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและมิได้รับอนุญาตตามกฎหมายและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และ 12 (1) เป็นความผิดในบทมาตราเดียว ทั้งเป็นการกระทำที่จำเลยประสงค์ที่จะเข้ามาในราชอาณาจักร จึงเป็นเจตนาเดียวกัน มิใช่การกระทำโดยเจตนาต่างกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
การที่จำเลยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 81 เป็นการกระทำที่จำเลยประสงค์ที่จะอยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเจตนาอีกเจตนาหนึ่งไม่ใช่เจตนาเดียวกันกับเจตนาที่เข้ามาในราชอาณาจักร การอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำกรรมเดียวกับการเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทลงโทษในความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางและเวลาตามกฎหมาย และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ส่วนมาตรา 81 เป็นบทลงโทษในความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 62 วรรคหนึ่ง จึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักกว่าและในการพิพากษาลงโทษตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง ศาลต้องกำหนดโทษจำคุกเสมอ การที่ศาลวินิจฉัยว่าบทกฎหมายทั้งสองมาตรามีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง ปรับเพียงสถานเดียวจึงเป็นการไม่ชอบ
คดีนี้จำเลยเพียงแต่ให้การรับสารภาพ แต่ไม่ได้รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ศาลลงโทษจำคุกในคดีก่อน และโจทก์ไม่ได้นำสืบในข้อนี้ และเมื่อในคดีนี้ศาลให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ จึงไม่อาจนับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีก่อนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 31, 70, 75 และ 76 พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 3, 4, 38, 79 และ 91 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 4, 11, 12, 18, 58, 62 และ 81 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 5, 6 และ 33 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 5, 7, 9, 51, 57 และ 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ดีวีดีและวีซีดีภาพยนตร์ของกลางที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์จำนวน 28 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์และสั่งจ่ายค่าปรับกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ กับนับโทษของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5612/2552 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 38 และ 79 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12, 18, 62 และ 81 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 5, 9, 51, 57 และ 60 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวต่อไป โดยให้รอการกำหนดโทษไว้กำหนด 1 ปี ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลงโทษปรับ 100,000 บาท ฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานเดินทางเข้ามาในอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษปรับ 2,000 บาท ฐานทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลงโทษปรับ 2,000 บาท รวมโทษทุกกระทงความผิดเป็นปรับ 104,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 52,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ให้ของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์ตามฟ้องตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ อนึ่ง ศาลในคดีนี้มิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จึงไม่อาจนับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5612/2552 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง สำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 ประกอบมาตรา 11 ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และ 12 (1) มาตรา 81
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อแรกว่า ความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยซึ่งเป็นคนต่างชาติสัญชาติลาวเดินทางจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทางอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 11 กับเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และ 12 (1) เป็นความผิดในบทมาตราเดียวกัน ทั้งเป็นการกระทำที่จำเลยประสงค์ที่จะเข้ามาในราชอาณาจักร จึงเป็นเจตนาเดียวกัน มิใช่กระทำโดยเจตนาต่างกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่การที่จำเลยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 81 ตามฟ้องนั้น เป็นการกระทำที่จำเลยประสงค์ที่จะอยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเจตนาอีกเจตนาหนึ่งไม่ใช่เจตนาเดียวกันกับเจตนาเข้ามาในราชอาณาจักร การอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำกรรมเดียวกับการเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การกระทำความผิดของจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 11 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และมาตรา 12 (1) มาตรา 81 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและลงโทษจำเลยฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อต่อไปมีว่า โทษที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงแก่จำเลยในความผิดฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2521 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2521 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทลงโทษในความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทางและเวลาตามกฎหมายตามมาตรา 11 และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายตามมาตรา 18 วรรคสอง และมาตรา 12 (1) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ส่วนมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเป็นบทลงโทษในความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เห็นได้ว่า มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เป็นบทกฎหมายบทที่มีโทษหนักกว่า และในการพิพากษาลงโทษตาม มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ศาลต้องกำหนดโทษจำคุกด้วยเสมอ ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าบทกฎหมายทั้งสองมาตรานี้มีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง ปรับเพียงสถานเดียวเท่านั้นจึงเป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อสุดท้ายมีว่า สมควรกำหนดโทษและลงโทษจำเลยโดยไม่รอการกำหนดโทษในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังเป็นยุติตามฟ้อง ซึ่งได้ความว่าจำเลยนำออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายซึ่งดีวีดีและวีซีดีภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายมีจำนวนเพียง 28 แผ่น ซึ่งเป็นจำนวนไม่มาก ทั้งจำเลยก็ไม่ได้เป็นผู้ทำซ้ำซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายเอง แต่เป็นเพียงผู้นำสิ่งที่ผู้อื่นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์อยู่แล้วนั้นมาขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขาย และยังปรากฏว่าจำเลยมีอายุเพียง 18 ปีเศษ หากศาลจะลงโทษจำเลยไปโดยไม่รอการกำหนดโทษ ก็เห็นว่าพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ได้บัญญัติจำกัดการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลไว้ โดยกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้เป็นโทษปรับจำนวน 50,000 บาท แม้ศาลจะลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ก็ยังคงต้องลงโทษปรับจำเลยเป็นเงินจำนวนถึง 25,000 บาท ซึ่งเห็นว่าก็ยังเป็นโทษที่สูงเกินไปเมื่อพิจารณาถึงสภาพความผิดและพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวแล้ว ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ถึงคำพิพากษาของศาลในคดีอื่นที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของแต่ละคดีแตกต่างกัน การใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษในแต่ละคดีย่อมแตกต่างกัน ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมแก่สภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละคดี ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้รอการกำหนดโทษแก่จำเลยในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์มานั้นจึงเหมาะสมแก่สภาพความผิดและพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้แล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามคดีนี้ข้อเท็จจริงตามที่จำเลยให้การรับสารภาพรับฟังได้เป็นยุติตามฟ้องว่า จำเลยนำออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายซึ่งดีวีดีและวีซีดีภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) ซึ่งเป็นความผิดฐานเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งดีวีดีและวีซีดีภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น จึงเป็นการปรับบทความผิดของจำเลยไม่ถูกต้อง และที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 38 โดยมิได้ระบุว่าเป็นมาตรา 38 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 18 และ 62 โดยมิได้ระบุว่าเป็นมาตรา 18 วรรคสอง และ 62 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 51 โดยมิได้ระบุว่าเป็นมาตรา 51 วรรคหนึ่ง นั้น ยังไม่ถูกต้องเช่นกัน แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในเรื่องนี้ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 79 ประกอบมาตรา 38 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 11 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และมาตรา 12 (1) มาตรา 81 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวต่อไป โดยให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ฐานประกอบกิจการจำหน่ายภาพยนตร์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลงโทษปรับ 100,000 บาท ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 2 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษปรับ 2,000 บาท ฐานทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษปรับ 2,000 บาท รวมโทษทุกกระทงความผิดเป็นจำคุก 2 เดือน และปรับ 104,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 52,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 ให้ดีวีดีและวีซีดีภาพยนตร์ของกลางที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวน 28 แผ่น ตามฟ้องตกเป็นของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ อนึ่ง คดีนี้จำเลยเพียงแต่รับสารภาพในความผิดที่โจทก์ฟ้อง แต่ไม่ได้รับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5612/2552 และโจทก์ไม่ได้นำสืบในข้อนี้และเมื่อในคดีนี้ศาลให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ จึงไม่อาจนับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5612/2552 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางตามคำขอของโจทก์ได้ และเมื่อศาลไม่ได้พิพากษาลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า จึงไม่อาจสั่งให้จ่ายค่าปรับที่จำเลยชำระกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตามคำขอของโจทก์ได้ จึงให้ยกคำขอทั้งสองคำขอนี้