คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9106/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าเคยตกลงกันว่าโจทก์ตกลงลดหย่อนต้นเงินและลดต้นเงินเหลือ 10,000,000 บาท หากจำเลยทั้งห้าชำระครบถ้วน โจทก์จะถอนฟ้องให้ เป็นเพียงข้อตกลงที่โจทก์ยอมลดยอดหนี้และยอมให้จำเลยทั้งห้าผ่อนชำระหนี้เท่านั้น โดยจำเลยทั้งห้าจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์อันเป็นเงื่อนไขที่จำเลยทั้งห้าต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนเสียก่อน โจทก์จึงถอนฟ้องให้หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง โจทก์ไม่มีความผูกพันที่จะต้องถอนฟ้องกรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือที่จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปในทันทีด้วยต่างผ่อนผันให้แก่กัน อันจะถือเป็นการประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 30,142,150.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 8,068,566.47 บาท และอัตราร้อยละ 24 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 17249 ตำบลบางยี่โท (ช่างเหล็ก) อำเภอบางไทร (เสนาน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินจากการขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนกว่าจะครบ
จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งห้าแถลงขอสละประเด็นตามคำให้การและยอมรับตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 8,000,000 บาท แก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 17249 ตำบลบางยี่โท (ช่งเหล็ก) อำเภอบางไทร (เสนาน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 20,142,150.31 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และอัตราร้อยละ 24 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 8,068,566.47 บาท และจำนวน 10,000,000 บาท ตามลำดับนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ระหว่างระยะเวลายื่นฎีกา นางพานทอง ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 ขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว นางพานทอง ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นางพานทองเป็นมารดาขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2548 จำเลยทั้งห้ายื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งห้าเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2548 คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามคำร้องของนางพานทองได้อีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 อนุญาตให้นางพานทองเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ จึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว และเมื่อปรากฏหลักฐานท้ายคำร้องว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมไปแล้วจริง โดยมีนางพานทองเป็นมารดา ทั้งไม่มีผู้คัดค้าน ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งอนุญาตให้นางพานทองเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 20,142,150.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เป็นการถูกต้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2544 โจทก์และจำเลยทั้งห้าร่วมกันแถลงต่อศาลว่าโจทก์และจำเลยทั้งห้าได้เคยตกลงกันว่าในคดีนี้และในอีกคดีหนึ่งที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อศาลชั้นต้น โจทก์ตกลงลดหย่อนให้โดยคิดเฉพาะต้นเงินและลดต้นเงินเหลือ 10,000,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวนี้จำเลยทั้งห้าจะต้องชำระให้โจทก์งวดละ 1,000,000 บาท รวม 2 งวด ซึ่งได้ชำระเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 8,000,000 บาท จะชำระทั้งหมดโดยจะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันก่อนวันนัด ต่อมาโจทก์เสนอเงื่อนไขใหม่ให้จำเลยทั้งห้า ชำระจำนวน 8,000,000 บาท ทั้งหมดแล้วโจทก์จะถอนฟ้องจำเลย หลังจากร่วมกันแถลงดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งห้าแถลงขอสละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การข้ออื่น ๆ ทั้งหมด คงเหลือเฉพาะประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การข้อ 4 ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 ตุลาคม 2545 ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2545 จำเลยทั้งห้าแถลงต่อศาลชั้นต้นขอสละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การส่วนที่เหลือและขอให้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในเดือนธันวาคม 2545 เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งห้าหาเงินจำนวน 8,000,000 บาท มาชำระให้แก่โจทก์ ปรากฏตามรายงานกระบวนการพิจารณาฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2545 เห็นว่า ตามข้อตกลงที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 ตุลาคม 2544 และวันที่ 14 มิถุนายน 2545 ดังกล่าว เป็นเพียงข้อตกลงที่โจทก์ยอมลดยอดหนี้และยอมให้จำเลยทั้งห้าผ่อนชำระหนี้ในคดีนี้และในอีกคดีหนึ่งซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อศาลชั้นต้นเท่านั้น โดยจำเลยทั้งห้าจะต้องชำระหนี้จำนวน 10,000,000 บาท ให้แก่โจทก์อันเป็นเงื่อนไขที่จำเลยทั้งห้าจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนเสียก่อน โจทก์จึงจะถอนฟ้องให้ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีข้อผูกพันที่จะต้องถอนฟ้อง กรณีจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือที่จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปในทันทีด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันอันเป็นการประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 เมื่อไม่เป็นการประนีประนอมยอมความอันจะทำให้หนี้เดิมระงับ ทั้งจำเลยทั้งห้าก็มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แถลงต่อศาลชั้นต้น จำเลยทั้งห้าจึงไม่หลุดพ้นจากความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share