คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยและฟังว่าห้องพิพาทไม่เป็นเคหะ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยเหตุอื่นนั้น จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเพื่อจะได้วินิจฉัยว่าการเช่าเป็นเคหะหรือไม่ ศาลฎีกาไม่จำต้องพิจารณาฎีกาคัดค้านคดีของจำเลยต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าโดยอ้างว่า จำเลยเช่าไปเพื่อทำการค้า ครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยไม่ยอมส่งบ้านคืน
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าเพื่ออยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบ
วันชี้สองสถาน โจทก์ จำเลยแถลงรับกันว่าจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ลงวันที่ ๙ ก.ย.๙๘ และโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทและได้ทำสัญญาเช่ากันจริง ทั้ง ๒ ฝ่ายแถลงขอสืบพยานให้ข้อที่ว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯหรือไม่
ศาลแขวงพระนครใต้ฟังว่า ห้องพิพาทไม่เป็นเคหะ เพราะทำการค้า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรู้ล่วงหน้าตามกฎหมายแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ไม่บอกกล่าวให้จำเลยรู้ตัวตาม ป.พ.พ.มาตรา ๕๖๖ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลย จึงขอให้ยกคำพิพากษาศาลล่าง และสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยไปทั้งหมด เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นการเช่าเคหะหรือมิใช่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยเหตุอื่นแล้ว ที่จำเลยฎีกาขึ้นมาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายืน

Share