คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9092/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อรับฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกับพวกฟอกเงินตามฟ้อง ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยได้ กรณีไม่จำต้องอาศัยความผิดมูลฐานเป็นเงื่อนไขว่าจะต้องมีการดำเนินคดีอาญาในความผิดมูลฐานหรือมีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดมูลฐานเสียก่อน จึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานได้ ทั้งในการพิพากษาคดีอาญาก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 เวลากลางวัน นายวิสูตร ซึ่งหลบหนีนำเงินจำนวน 1,000,000 บาท อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ที่จำเลยและนายวิสูตรกับพวกอีก 2 คน ซึ่งหลบหนี และนายธวัชชัย ซึ่งถึงแก่ความตายแล้ว ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนกฎหมาย โอนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาโพนพิสัย ของจำเลย โดยจำเลยรับโอนเงินจำนวนดังกล่าวจากนายวิสูตร อันเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าว เพื่อซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และมิให้ผู้ใดพบเห็นและทราบถึงลักษณะที่แท้จริง ตลอดทั้งการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 , 5 , 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่งดังล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (ที่ถูก มาตรา 5 (1)) ,60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุก 6 ปี นับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 519/2548 ของศาลจังหวัดหนองคาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่าในวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายวิสูตร นำเงินจำนวน 1,000,000 บาท ฝากที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาซีคอนสแควร์โอนไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาโพนพิสัย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกับนายวิสูตรร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า การลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่นั้น ผู้กระทำต้องปกปิดเป็นความลับวางแผนการติดต่อซื้อขายรับส่งยาเสพติดและชำระเงินกันอย่างละเอียด ทั้งหลีกเลี่ยงการยึดถือยาเสพติดและเงินที่ได้มาจากการขายไว้เอง จึงยากแก่การหาพยานหลักฐานที่ชัดเจนมั่นคงมานำสืบเอาผิดกับคนร้ายได้ จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีและพิรุธในการกระทำของผู้นั้น แม้ไม่มีการดำเนินคดีแก่นายวิสูตรในข้อหาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษโดยตรงและความผิดฐานฟอกเงินของนายวิสูตรยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา แต่ข้อเท็จจริงซึ่งเจ้าพนักงานสืบสวนได้ความมาตามคำเบิกความของพันตำรวจโทอธิวัฒน์และคำให้การในชั้นสอบสวนของนายรุ่งธรรมซึ่งเป็นพยานบอกเล่ามีสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมซึ่งทำให้น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับที่พนักงานสอบสวนสอบปากคำนางสาวรัตนา นายสุวิทย์ และนายนิยม ซึ่งเป็นพี่น้องและบิดาของนายวิสูตรได้ความตรงกันว่า นายวิสูตรไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นใด นอกจากเปิดอู่พ่นสี ล้างรถตามบันทึกคำให้การ ซึ่งไม่น่าจะทำให้มีรายได้มากนัก ทั้งนายวิสูตรไม่ใช่คนมีฐานะดีมาก่อน แต่เจ้าพนักงานยึดทรัพย์สินของนายวิสูตรได้มากมาย ทั้งเงินสด เงินฝากธนาคาร ที่ดิน รถยนต์และทรัพย์สินอื่น ๆ ตามบัญชีของกลางคดีอาญา เห็นได้ชัดว่ามีมากเกินฐานะและความสามารถในการหามาได้หากประกอบอาชีพสุจริต ขณะเจ้าพนักงานเข้าตรวจยึดทรัพย์สินของนายธวัชชัยและของนายวิสูตร นายวิสูตรก็ไม่อยู่เพื่อแสดงหลักฐานพิสูจน์ถึงที่มาของทรัพย์สินของตน กลับหลบหนีไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของนางสายทองภริยา เพียงพอให้รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่านายวิสูตรเกี่ยวข้องและมีรายได้จำนวนมาก จากการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในละแวกจังหวัดสมุทรปราการ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าก่อนการโอนเงินรายนี้ 2 เดือน เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านของนายวิสูตรที่จังหวัดเพชรบูรณ์และยึดทรัพย์สินหลายรายการ รวมทั้งเงินสดจำนวนมากถึง 1,350,000 บาท แม้ในเวลาต่อมานางสายทองจะได้เงินจำนวนดังกล่าวคืนไป แต่เชื่อว่าเป็นเหตุให้นายวิสูตรต้องรีบยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินให้พ้นจากการตรวจยึด สอดคล้องกับเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2545 นางสาวรัตนาน้องของนายวิสูตรนำเงินจำนวน 500,000 บาท ฝากที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนสายลวดเพื่อโอนไปเข้าบัญชีของจำเลยในธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาโพนพิสัย จึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าเงินจำนวน 1,000,000 บาท ที่นายวิสูตรโอนให้แก่จำเลยเป็นเงินที่นายวิสูตรได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าเลิกร้างกับนายวิสูตรแล้วฟังไม่ขึ้นเพราะขัดแย้งกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนดังที่วินิจฉัยมา จำเลยซึ่งยังเป็นภริยาของนายวิสูตร อยู่กินด้วยกันมานานถึงสิบกว่าปีและมีบุตรด้วยกันสองคน ย่อมต้องทราบดีว่านายวิสูตรได้เงินจำนวนดังกล่าวมาอย่างไร ประกอบกับที่ฟังได้ว่า หลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน จำเลยก็ถอนเงินจำนวน 1,500,000 บาท ออกจากบัญชีเงินฝากดังกล่าว ล้วนเป็นพิรุธที่ทำให้รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยทราบดีว่าเงินที่รับโอนจากนายวิสูตรเป็นเงินที่นายวิสูตรได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า คดีความผิดมูลฐานไม่มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยหรือนายวิสูตรในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษก็ดี ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3227/2548 ของศาลชั้นต้นที่นายวิสูตรถูกฟ้องในความผิดฐานฟอกเงินจำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้วก็ดีนั้น เห็นว่า เมื่อรับฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกับพวกฟอกเงินตามฟ้อง ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยได้ กรณีไม่จำต้องอาศัยความผิดมูลฐานเป็นเงื่อนไขว่าจะต้องมีการดำเนินคดีอาญาในความผิดมูลฐานหรือมีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดมูลฐานเสียก่อน จึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานได้ ทั้งในการพิพากษาคดีอาญาก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share