แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานสอบสวน จำเลยที่ 2 เป็นตำรวจประจำกอง 2 ตำรวจสันติบาล สมคบกันทำผิดกฎหมายโดยจำเลยที่ 1 เรียกเงินเป็นสินน้ำใจจากผู้ต้องหา ในการที่อุปการะแก่การที่จำเลยที่ 1 ให้คุณแก่ผู้ต้องหาตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ส่วน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ไปรับเงินมาจากผู้ต้องหา มาเป็นอาณาประโยชน์ของจำเลยทั้ง 2 ดังนี้ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนและถือว่า อยู่ในฐานะเสมือนราษฎร ทำผิดร่วมกับเจ้าพนักงาน ควรมีผิดเพียงฐานสมรู้เท่านั้นก็ดี ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้ได้ ไม่เรียกว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจสำราณราษฎร์ จำเลยที่ 2 รับราชการเป็นพนักงานตำรวจประจำกอง 2 ตำรวจสันติบาล ได้บังอาจสมคบกันทำผิดกฎหมาย กล่าวคือจำเลยที่ 1 ได้บังอาจเรียกเอาเงิน 350 บาท จากนายณรงค์ผู้ต้องหาฐานทำร้ายร่างกายนายโอวกี่ โดยจำเลยที่ 1 จะช่วยทำคดีซึ่งต้องหานั้นเสร็จเรียบร้อยชั้นสถานีตำรวจไม่มีเรื่องต่อไปและนัดหมายให้จำเลยที่ 2 ไปรับเงิน แล้วจำเลยที่ 2 ได้ไปรับเงินจากนายณรงค์มาเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองเสียขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 137
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทำผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2เป็นตำรวจสันติบาล ไม่ใช่เจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนจึงอยู่ในฐานะเสมือนราษฎรทำผิดร่วมกับเจ้าพนักงาน จึงเป็นผิดฐานสมรู้ จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 137 ลงโทษจำเลยที่ 2ตามมาตรา 137, 65
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าพนักงานในตำแหน่งหน้าที่ ข้อเท็จรริงจึงต่างกับฟ้องนั้นฟังไม่ได้ เพราะโจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 รับราชการเป็นพนักงานตำรวจประจำกอง 2 ตำรวจสันติบาล และข้อเท็จจริงก็ตรงดั่งฟ้อง ฎีกาข้ออื่นฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน