คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ (จำเลย) ล้มละลาย ลูกหนี้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ในระหว่างฎีกา ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราวตามคำขอของเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หลังจากนั้นผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันและได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอทำการแทนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ขอนำยึดทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งหมดและรับรองจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการยึดทรัพย์ครั้งนี้ตลอดจนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงจัดการยึดทรัพย์ตามคำขอของผู้ร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราวและให้ถอนการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวของลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงจัดการถอนการยึดคืนทรัพย์ให้แก่ลูกหนี้ และแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมถอนการยึดไปชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ดังนี้ อำนาจในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามมาตรา 22 ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามธรรมดาผู้หนึ่งไม่มีหน้าที่และความรับผิดใด ๆเป็นส่วนตัวโดยตรงตามกฎหมายล้มละลายในเรื่องค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ใช้ดุลพินิจทำการยึดทรัพย์เองโดยเชื่อตามคำเสนอแนะของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมมและค่าใช้จ่ายในการถอนการยึดมาชำระได้ ส่วนปัญหาที่ว่าผู้ร้องจะต้องรับผิดตามสัญญาหรือไม่นั้น หากจะฟังว่ามีผลบังคับได้ก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องดำเนินการขอให้ศาลบังคับผู้ร้องตามสัญญาเสียก่อน ศาลจะบังคับผู้ร้องไปทันทีในคดีนี้ไม่ได้

ย่อยาว

เดิมศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ (จำเลย) ล้มละลาย ลูกหนี้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ระหว่างฎีกาเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราวตามคำขอ หลังจากนั้นธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้ร้อง ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันและได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอทำการแทนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ นำยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตลอดทั้งทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ทั้งหมดและผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเพิ่มเติมเข้ามาด้วยว่า ผู้ร้องรับรองจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการยึดทรัพย์ครั้งนี้ ตลอดทั้งค่าธรรมเนียมการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงสั่งให้แจ้งกองบังคับคดีแพ่งทำการยึดทรัพย์ตามคำขอของผู้ร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้น(ที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว) และให้ถอนการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวของลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงได้จัดการถอนการยึดทรัพย์ที่ผู้ร้องขอให้ยึดเสีย พร้อมกับให้ส่งมอบทรัพย์ทั้งหมดคืนให้แก่ลูกหนี้และได้มีหมายแจ้งให้ผู้ร้องนำค่าธรรมเนียมถอนการยึดจำนวน 226,511 บาท 10 สตางค์ ไปชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องปฏิเสธความรับผิดในเรื่องค่าธรรมเนียมดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีนี้ว่าในคดีล้มละลายไม่มีบทบัญญัติให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดดังเช่นในคดีแพ่ง คงให้เสียแต่ค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินเท่านั้น และจะเรียกได้ก็ต่อเมื่อมีการรวบรวมทรัพย์สินเสร็จแล้ว ผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ขอให้ถอนการยึด ในการนำยึดผู้ร้องก็ได้กระทำในฐานะเป็นตัวแทนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์และเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ทุก ๆ คน ผู้ร้องจึงไม่ต้องรับผิดในเรื่องค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตามหากเป็นกรณีที่พึงต้องเสียค่าธรรมเนียม กองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะต้องเป็นผู้ชำระ ไม่ใช่ผู้ร้อง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า ค่าธรรมเนียมถอนการยึดเป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(3)วรรคสุดท้ายและกรณีนี้ผู้ร้องขอนำยึดทรัพย์เอง โดยยอมรับผิดในเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม ฉะนั้นผู้ร้องจะอ้างว่าได้นำยึดในฐานะแทนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์และเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะต้องเป็นผู้รับผิดไม่ได้ แม้ผู้ร้องจะไม่ได้เป็นผู้ขอให้ถอนการยึด แต่เมื่อผู้ร้องเป็นผู้นำยึดผู้ร้องก็ต้องรับผิด การที่ผู้ร้องยอมผูกพันตนเข้าทำสัญญายอมรับผิดในเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ร้องมิใช่เป็นผู้ก่อให้เกิดการถอนการยึดไม่ยอมรับผิดนั้นหาได้ไม่

คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานอื่นต่อไป ขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามคำร้องและคำคัดค้าน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อำนาจในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ในเมื่อศาลได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์แล้วนั้น ย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ไม่มีบุคคลใดมีอำนาจหน้าที่โดยตรงดังนี้อีก แม้แต่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ก็มีเพียงแต่หน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 155 เท่านั้น พระราชบัญญัติล้มละลายไม่ได้บัญญัติไว้ในที่ใดให้เจ้าหนี้อื่น ๆ เข้ามามีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วย เว้นแต่จะใช้วิธีการผ่านทางที่ประชุมเจ้าหนี้หรือกรรมการเจ้าหนี้เพื่อขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จัดการให้เท่านั้น ดังนั้นผู้ร้องในคดีนี้ซึ่งเป็นเพียงเจ้าหนี้ตามธรรมดาผู้หนึ่งจึงไม่มีหน้าที่และความรับผิดใด ๆ เป็นส่วนตัวโดยตรงตามกฎหมายล้มละลายในเรื่องค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่พิพาทในคดีนี้เลย การที่ผู้ร้องเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการรวบรวมทรัพย์สินโดยปราศจากอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายล้มละลายเช่นนี้ ก็มีวิธีการตามกฎหมายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะนำมาใช้ได้ เช่น ถ้าหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของผู้ร้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ชอบที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 156 โดยให้ที่ประชุมเจ้าหนี้ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์แทนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์เดิม การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้นำมาตรา 156 มาใช้แก่กรณีนี้ จึงต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ใช้ดุลพินิจแจ้งให้กองบังคับคดีแพ่งทำการยึดทรัพย์เอง โดยเชื่อตามคำเสนอแนะของผู้ร้อง ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายล้มละลายแต่อย่างใดเลยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจที่จะอ้างอิงอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาออกคำสั่งให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่พิพาทมาชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ส่วนปัญหาที่ว่าผู้ร้องได้ให้สัญญารับรองไว้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าจะเป็นผู้รับผิดในเรื่องค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการรวบรวมทรัพย์ที่พิพาทรายนี้จะต้องรับผิดตามสัญญาหรือไม่นั้นเห็นว่าแม้หากจะฟังว่าเป็นสัญญาที่มีผลบังคับได้ ก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องดำเนินการขอให้ศาลบังคับผู้ร้องตามสัญญาที่อ้างนั้นเสียก่อน ศาลจะบังคับผู้ร้องไปทันทีในคดีนี้ไม่ได้ ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้นคดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึงประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการรวบรวมทรัพย์สินจำนวน 226,511 บาท 10 สตางค์ ไปชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

Share