คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9052/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ผู้ร้องฎีกาว่าการที่ผู้ร้องติดตามรถจักรยานยนต์คืนเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายนั้นผู้ร้องเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195ประกอบด้วยมาตรา225ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามสัญญาเช่าซื้อได้ระบุว่าหากเกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์ที่เช่าซื้อผู้เช่าซื้อยินยอมรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ยังคงค้างชำระอยู่ทั้งสิ้นหากปรากฏว่าทรัพย์ที่เช่าซื้อชำรุดเสียหายหรือบุบสลายผู้เช่าซื้อยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้นถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่างวดใดงวดหนึ่งผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและกลับเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ที่เช่าซื้อเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อต่อไปผู้ร้องเพิ่งได้มอบอำนาจให้จ. ติดตามยึดรถจักรยานยนต์คืนหลังจากรถจักรยานยนต์ถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้แล้วถึง4เดือนเศษและหลังจากผู้เช่าซื้อขาดส่งค่าเช่าซื้อเป็นเวลา8เดือนเศษโดยไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก่อนนอกจากนี้หากผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระครบถ้วนผู้ร้องก็ยินยอมให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวต่อไปจึงแสดงว่าผู้ร้องไม่มีความประสงค์จะยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อแต่ประการใดพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียวผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์และพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม,336 ทวิ, 288, 80, 83 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดดังกล่าวขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางหรือไม่ โจทก์ไม่รับรอง และถึงแม้ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องก็รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่20 กรกฎาคม 2532 นายประพันธ์ พลบุญ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.4 นายประพันธ์ได้ชำระค่าเช่าซื้อ 5 ครั้งรวมเป็นเงิน 9,800 บาท ตามบันทึกการชำระค่าเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.5 ครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2533ซึ่งเป็นการชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดที่ 9 ประจำวันที่20 เมษายน 2533 แต่ยังขาดไป 100 บาท หลังจากนั้นนายประพันธ์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้องอีกเลยจนกระทั่งวันที่ 25 ธันวาคม 2533 ผู้ร้องจึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายเจียม ละเอียด เป็นผู้ติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากนายประพันธ์ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกว่าผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วหรือไม่ ปัญหานี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่นายประพันธ์ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า การที่ผู้ร้องติดตามรถจักรยานยนต์คืนเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายนั้น ผู้ร้องเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่ผู้ร้องฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยเห็นว่า ตามสัญญาข้อ 6 ได้ระบุว่า หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์ที่เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อยินยอมรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ยังคงค้างชำระอยู่ทั้งสิ้น และตามสัญญาข้อ 9ก็ได้ระบุว่า หากปรากฏว่าทรัพย์ที่เช่าซื้อชำรุดเสียหายหรือบุบสลาย ผู้เช่าซื้อยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้นถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่งผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและกลับเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ที่เช่าซื้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าผู้ร้องยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้นนายประพันธ์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อต่อไป พนักงานสอบสวนได้ยึดรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ร้องนำออกให้นายประพันธ์เช่าซื้อเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2533ผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายเจียมติดตามรถจักรยานยนต์คืนเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2533 หลังจากรถจักรยานยนต์ถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้แล้วถึง 4 เดือนเศษและหลังจากนายประพันธ์ขาดส่งค่าเช่าซื้อเป็นเวลา8 เดือนเศษ โดยไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก่อนนอกจากนี้นายกิติพงศ์ได้เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่าหากนายประพันธ์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระครบถ้วนทางผู้ร้องก็ยินยอมให้นายประพันธ์เช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวต่อไป จึงแสดงว่าผู้ร้องไม่มีความประสงค์จะยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากนายประพันธ์แต่ประการใดพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนเพื่อประโยชน์ของนายประพันธ์ผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียว ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง
พิพากษายืน

Share