คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัมภาระจะต้องเป็นของบุคคลอื่นอยู่ในขณะที่ได้เอาสัมภาระนั้นทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นใหม่ กรณีจึงจะต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1317
จำเลยยืมไม้และสังกระสีของผู้ร้องเพื่อปลูกเรือน ซึ่งอาจต้องเอามาบั่นทอนตัดตัดฟันแปรสภาพไปเป็นตัวเรือน และตามปกติ เมื่อยืมมาใช้เช่นนี้ ก็หมายความว่าเอาทรัพย์นั้น ๆ มาขาดทีเดียว ไม่ใช่จะเอาทรัพย์นั้นไปคืนอีก จึงถือว่าเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์ในเรือนนั้นโอนไปเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650.

ย่อยาว

จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลตามสัญญายอม โจทก์นำยึดเรือน ๑ หลัง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเรือนนี้เป็นของผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่าเรือนนี้เป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าผู้ร้องให้จำเลยยืมสัมภาระปลูกเรือนนี้ สัมภาระไ้แปรสภาพเป็นตัวเรือน จึงเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๐ เรือนเป็นของจำเลยพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณืเห็นว่า ไม่ใช่การยืมใช้สิ้นเปลืองหรือการยืมใช้คงรูป แต่เป็นเรื่องใช้สัมภาระของบุคคลอื่นทำสิ่งใดขึ้นใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๑๗ และโจทก์มิได้นำสืบว่าค่าแรงเกินกว่าค่าสัมภาระ จึงต้องฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ร้อง พิพากษากลับ ให้ปล่อยเรือนที่ถูกยืด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัมภาระจะต้องเป็นของบุคคลอื่นอยู่ในขณะที่ได้เอาสัมภาระนั้นทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นใหม่ กรณีจึงจะต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๗ แต่จำเลยได้ยืมสัมภาระจากผู้ร้องมาแล้ว จึงต้องพิจารณาว่าเป้นการยืมในลักษณะใด เห็นว่าจำเลยยืมไม้และสังกะสีของผู้ร้องมาเพื่อปลูกเรือน ซึ่งอาจต้องเอามาบั่นทอนตัดฟันแปรสภาพไปเป็นตัวเรือน หาได้คงอยู่ในสภาพเดิมไม่และตามปรกติเมื่อยืมมาใช้เช่นนี้ก็หมายความว่าเอาทรัพย์นั้น ๆ มาขาดทีเดียว ไม่ใช่จะเอาทรัพย์นั้นไปคืนอีก ต้องถือว่าเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์จึงโอนไปเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๐
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น.

Share