แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1453 สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี่ยงดูกัน ดังนั้น เมื่อสามีโจทก์ถูกจำเลยยิงตายโดยละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ที่โจทก์ขาดไร้อุปการะจากสามี และแม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้แน่นอนว่าค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด
โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และได้ยื่นคำขอต่อศาลขอว่าความอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาได้โดยไม่จำต้องฟังคำคัดค้านของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน เพราะในกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคู่ความที่ร้องขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของนายชลอ ธีรเดช เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๖ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายชลอถึงแก่ความตาย การทำละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะค่าเลี้ยงดูจากสามี ขณะนายชลอถูกยิงตายมีอายุ ๒๘ ปี รับราชการกรมทางหลวงแผ่นดิน มีรายได้เดือนละ ๑,๒๕๐ บาท ให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท นายชลอจะได้เลื่อนเงินเดือนสูงตามลำดับถึง ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือนเป็นอย่างต่ำ จะรับราชการอยู่อีกนานถึง ๓๒ ปี ใน ๒ ปีแรกโจทก์ขอคิดค่าเสียหายที่ขาดค่าเลี้ยงดูเดือนละ ๕๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ๑๐ ปีถัดไปเดือนละ ๘๐๐ บาท เป็นเงิน ๙๖,๐๐๐ บาท ๑๐ ปี ถัดไปเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ๑๐ ปีสุดท้ายเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๔๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหาย ๓๗๒,๐๐๐ บาท นอกจากนี้จำเลยทำให้โจทก์ขาดไร้อุปการะ ไม่ได้รับความอบอุ่นจากสามีขอคิดค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๓๒ ปี คิดเป็นเงิน ๓๘๔,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น ๗๕๖,๐๐๐ บาท โจทก์ติดใจเรียกร้องเพียง ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ภรรยานายชลอ ธีรเดช ผู้ตายเป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลย วันเกิดเหตุผู้ตายวิวาทกับจำเลยแล้วใช้ปืนยิงจำเลยหลายนัด จำเลยยิงไปเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่แน่นอนและไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพราะเหตุขาดไร้อุปการะเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาทแทนโจทก์
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นละเมิด ไม่ใช่ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและวินิจฉัยว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๓ วรรคสอง บัญญัติว่า สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน เมื่อสามีโจทก์ถูกจำเลยยิงตายโดยละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ที่โจทก์ขาดไร้อุปการะจากสามีส่วนค่าสินไหมทดแทนจะเป็นเท่าไรนั้น แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงินหนึ่งแสนบาท
ที่จำเลยแก่ฎีกาว่า โจทก์ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาโดยจำเลยไม่มีโอกาสคัดค้าน เป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากศาลให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์และได้ยื่นคำขอต่อศาลขอว่าความอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำขอของโจทก์ว่า คดีมีเหตุสมควรที่จะฎีกาและถือว่าโจทก์ยังเป็นคนยากจนอยู่โดยไม่ปรากฏเหตุเป็นอย่างอื่น อนุญาตให้โจทก์ฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาและสั่งรับฎีกาโจทก์ เช่นนี้เป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๑ แล้ว การที่ศาลอนุญาตให้ว่าความอย่างคนอนาถาในกรณีเช่นนี้ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคู่ความที่ร้องขอ ไม่จำต้องฟังคำคัดค้านของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงินหนึ่งแสนบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ๓ ศาล โดยกำหนดค่าทนายความ ๓ ศาลเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับยกเว้นให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดี