คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นมรดกได้มาระหว่างจำเลยกับสามีเป็นสามีภรรยากันจึงเป็นสินบริคณฑ์เมื่อจำเลยเอาที่พิพาทไปขายให้โจทก์โดยสามีไม่รู้เห็น สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆียะเมื่อสามีบอกล้างแล้วตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิมไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่จำเลย
แม้ว่าโจทก์ได้บอกขายที่พิพาทแก่บุคคลภายนอกแต่สัญญานั้นมีข้อความว่าเมื่อมีเหตุที่โจทก์จะขายให้ไม่ได้ไม่ว่าด้วยประการใดโจทก์ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าปรับหรือค่าเสียหาย ดังนี้โจทก์จึงไม่มีค่าเสียหายพิเศษอย่างใดที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลย แต่เงิน (มัดจำ)ที่จำเลยรับว่าได้รับจากโจทก์ไปเท่าใดนั้นต้องคืนให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินส่วนหนึ่งในโฉนดหมายเลขที่ 417 อำเภอเมืองมีนบุรี จังหวัดพระนคร จำนวน 40 ไร่ อันเป็นส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ราคาไร่ละ 2,000 บาท ครั้นถึงเวลาโอนตามสัญญาจำเลยหาโอนให้ไม่ จำเลยขอผัดและรับมัดจำเพิ่มจากโจทก์ 3,000 บาทสองคราวแล้วจำเลยจัดการรังวัดแบ่งแยกไม่สำเร็จ โจทก์แจ้งให้จำเลยคืนเงินมัดจำและชำระค่าปรับไหมจำเลยจึงบอกอนุญาตโจทก์ขายที่ดินต่อไปแก่ผู้อื่นได้โดยถ้าจำเลยจัดการโอนให้โจทก์ไม่ได้จะยอมรับผิดยิ่งไปกว่าที่กำหนดกันไว้ในข้อสัญญาเดิม โจทก์จึงได้ทำสัญญาจะขายให้แก่นายสิงห์ 240,000 บาท จำเลยผิดสัญญาขอให้บังคับจำเลยจัดการยื่นคำร้องนำเจ้าพนักงานทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดเสียให้เสร็จ แล้วจัดการโอนขายส่วนของจำเลยตามสัญญา ถ้าไม่สามารถทำได้ก็ให้ใช้ค่าเสียหาย 240,000 บาท

จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำสัญญากับโจทก์โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องให้นายรื่น วรสูตรสามีจำเลยยินยอมตกลงด้วยในภายหลังจึงจะซื้อขายกันได้ประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่งที่แปลงนี้ยังแบ่งแยกไม่เสร็จ ครั้นต่อมานายรื่นไม่ยอมให้จำเลยขายและจำเลยได้บอกกล่าวคืนมัดจำเลยแก่โจทก์แล้ว ที่ว่าโจทก์สัญญาจะขายแก่นายสิงห์นั้นไม่จริง โจทก์อุบายจะโกงจำเลยและโจทก์ไม่ได้เสียหาย

นายรื่นขอเข้าเป็นจำเลยร่วมให้การว่าเป็นสามีนางพร้อมที่พิพาทเป็นสินบริคณฑ์ระหว่างนายรื่นนางพร้อมโจทก์หลอกทำสัญญากับนางพร้อม นายรื่นไม่รู้เห็น นายรื่นทราบเรื่องก็ได้บอกล้างไปแล้ว สัญญาจึงเป็นโมฆะ และโจทก์จะฟ้องนางพร้อมไม่ได้เพราะเจ้าพนักงานยังทำการแบ่งแยกโฉนดไม่เสร็จฯ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของสัญญาฯ

ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่านายรื่นกับนางพร้อมจำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายที่พิพาทนางพร้อมได้รับมรดกจากนางเขียวน้องสาวโดยนิตินัยย่อมตกเป็นสินบริคณฑ์ระหว่างจำเลยกับนายรื่น เมื่อจำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทรับเงินมัดจำจากโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากนายรื่นสามี จึงไม่ผูกพันสินบริคณฑ์นั้นเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 38เมื่อนายรื่นบอกล้างแล้วก็ตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 และการบอกล้างนิติกรรมรายนี้เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตของนายรื่นนางพร้อม

เมื่อนายรื่นบอกล้างสัญญาแล้วสัญญานั้นตกเป็นโมฆะ คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิมไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่จำเลยส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เสียหายโดยตรงและพิเศษนั้นเห็นว่าการที่โจทก์ว่าได้ทำสัญญารับเงินมัดจำจะขายที่ดินต่อให้นายสิงห์นั้นเมื่อมีเหตุซึ่งจะขายไม่ได้ไม่ว่าด้วยประการใดตามสัญญาโจทก์หาต้องรับผิดใช้ค่าปรับหรือค่าเสียหายแก่นายสิงห์ไม่ โจทก์จึงไม่มีการเสียหายพิเศษ แต่เงินที่นางพร้อมจำเลยรับว่าได้รับต่อโจทก์ไปสามคราวนั้นต้องคืนให้โจทก์

พิพากษาแก้ให้จำเลยคืนเงิน 16,000 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้อง

Share