คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญามีข้อความว่า ถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อให้เป็นการถูกต้องภายในกำหนดตามสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นจำนวนเงินร้อยละห้าของราคาของที่ยังไม่ได้ส่งถ้าผู้ขายผิดสัญญาและได้มีการบอกเลิกสัญญาผู้ขายยินยอมให้ผู้ซื้อปรับอีกเป็นเงินร้อยละห้าของราคาสิ่งของทั้งหมดในสัญญา หรือตามราคาสิ่งของที่ยังขาดส่งอยู่ดังนี้ โจทก์ผู้ซื้อจะมีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยผู้ขายอีกร้อยละห้าของราคาทั้งหมดได้ต่อเมื่อจำเลยผิดสัญญาและมีการเลิกสัญญากันเท่านั้น แต่เมื่อโจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาและยังรับของที่จำเลยขายไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับเพิ่มในอัตราร้อยละห้าจากราคาของทั้งหมดอีกคงมีสิทธิเรียกได้เพียงร้อยละห้าจากราคาของที่ยังค้างส่ง และต้องคิดเฉพาะชิ้นส่วนที่ยังค้างส่งเท่านั้น ไม่ใช่คิดเป็นชุด เพราะตามสัญญาไม่ได้ระบุ ว่าถ้าเครื่องโทรพิมพ์ชุดใดขาดส่งเพียงบางชิ้นส่วนให้ถือว่าขาดส่งทั้งชุด

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาโจทก์จำเลยนำสืบฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2519 ได้รับโอนสิทธิ หนี้สิน พนักงาน ลูกจ้าง จากกรมไปรษณีย์โทรเลขเมื่อ พ.ศ. 2518 กรมไปรษณีย์โทรเลขตกลงซื้อเครื่องโทรพิมพ์จากจำเลยที่ 1 จำนวน 20 ชุด ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 กำหนดส่งมอบของภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2519 มีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.3 จำเลยที่ 1 ได้จัดส่งเครื่องโทรพิมพ์ทั้งยี่สิบชุดให้กรมไปรษณีย์โทรเลขเมื่อวันที่ 6 และ 27 กันยายน 2519 ตามใบส่งของและใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ.5 จ.6 และ จ.7 คณะกรรมการตรวจรับของซึ่งกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ตั้งขึ้นได้ทำการตรวจรับของเมื่อวันที่ 1 ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2519 ปรากฏว่าเครื่องโทรพิมพ์ทั้งยี่สิบชุดใช้การไม่ได้ คณะกรรมการจึงรายงานให้อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขทราบตามเอกสารหมาย จ.8 หัวหน้ากองทรัพย์สินและพัสดุได้มีหนังสือให้จำเลยที่ 1 แก้ไขข้อบกพร่อง จำเลยที่ 1 ก็ได้จัดการแก้ไขข้อบกพร่องจนเครื่องโทรพิมพ์ใช้การได้แล้ว คณะกรรมการจึงได้รับไว้และรายงานให้อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขทราบตามเอกสารหมาย จ.12 แล้วหัวหน้ากองทรัพย์สินและพัสดุได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 แจ้งราคาของที่ขาดเพื่อประโยชน์ในการคำนวณค่าปรับ เพราะจำเลยที่ 1 ส่งของเกินกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบราคาตามเอกสารหมาย จ. 13 เจ้าหน้าที่ของกรมไปรษณีย์โทรเลขได้คำนวณค่าปรับร้อยละ 5 ของราคาของที่ไม่ได้ส่งตามกำหนดเป็นรายวันเป็นเงิน 130 บาท 50 สตางค์ และเสนออธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.14 และได้มีการปรับจำเลยที่ 1 ตามที่เสนอ หลังจากนั้นกรมไปรษณีย์โทรเลขก็จ่ายเงินค่าเครื่องโทรพิมพ์ให้จำเลยที่ 1 โดยหักค่าปรับไว้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งอย่างใด ต่อมาคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือเอกสารหมาย จ.16 ถึงโจทก์ ให้โจทก์เรียกเงินค่าปรับจากจำเลยที่ 1 เพิ่ม โดยอ้างว่าตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 กรมไปรษณีย์โทรเลขกับจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาขายเครื่องโทรพิมพ์เป็นชุด ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้ว เครื่องโทรพิมพ์ก็ไม่สามารถนำไปให้เช่าตามวัตถุประสงค์ที่จัดซื้อได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบเครื่องแปลงแรงเคลื่อนไฟฟ้าเกินกำหนด 3 วัน แม้จะส่งเครื่องโทรพิมพ์ทันภายในกำหนดเวลาก็ตาม แต่กรมไปรษณีย์โทรเลขก็ไม่สามารถนำเครื่องโทรพิมพ์ไปให้เช่าได้ ทำให้ขาดผลประโยชน์ที่ควรรับไป จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาส่งเครื่องโทรพิมพ์ทั้งชุดตามสัญญาข้อ 4 กรมไปรษณีย์โทรเลขมีสิทธิตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 9 โจทก์คิดปรับเต็มตามราคาของเครื่องโทรพิมพ์จำนวน 20 ชุด เป็นเงินค่าปรับ 18,260 บาท แต่กรมไปรษณีย์โทรเลขปรับจำเลยที่ 1 เพียง 60 บาท จึงต้องเรียกค่าปรับเพิ่ม 18,200 บาท ส่วนเครื่องโทรพิมพ์ชนิดเอ็ม 28 เอ.เอส.อาร์. จำนวน 9 เครื่อง และเครื่องชนิด เอ็ม 28 อาร์.ไอ. จำนวน 1 เครื่อง คณะกรรมการตรวจรับของได้ยืนยันว่า เครื่องโทรพิมพ์ที่บกพร่องนี้จะนำไปใช้งานไม่ได้จนกว่าจะได้แก้ไขข้อบกพร่องให้เรียบร้อยก่อน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แก้ไขข้อบกพร่องเสร็จเรียบร้อยและส่งมอบให้กรมไปรษณีย์โทรเลขได้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2519 เกินกำหนดเวลาตามสัญญาข้อ 4 ไป 22 วัน ซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา กรมไปรษณีย์โทรเลขมีสิทธิเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาข้อ 9 ได้เพียงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2519 จึงมีเครื่องโทรพิมพ์ที่ผู้ขายส่งมอบและอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยใช้งานได้ 11 ชุด ใช้งานไม่ได้ 9 ชุด ซึ่งจะต้องเรียกค่าปรับจากจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2519 ถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2519 รวม 14 วัน เป็นเงินค่าปรับ 52,041 บาท แต่กรมไปรษณีย์โทรเลขยังมิได้เรียกเงินค่าปรับในกรณีนี้จากผู้ขาย รวมเงินค่าปรับที่จำเลยที่ 1 จะต้องเสียให้กรมไปรษณีย์โทรเลขเพิ่มอีก 70,241 บาท คดีจึงมีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเพิ่มตามที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินแจ้งมายังโจทก์หรือไม่ ปรากฏตามสัญญาซื้อขายเครื่องโทรพิมพ์เอกสารหมาย จ.2 ที่กรมไปรษณีย์โทรเลขทำไว้กับจำเลยที่ 1 ข้อ 9 มีข้อความว่า “ถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อให้เป็นการถูกต้องภายในกำหนดตามสัญญาข้อ 4 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นจำนวนเงินร้อยละห้าของราคาของที่ยังไม่ได้ส่งโดยคิดเป็นรายเดือน จนกว่าผู้ขายจะได้นำสิ่งของนั้น ๆ มาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญา

นอกจากผู้ขายจะต้องถูกริบเงินประกันสัญญาและค่าปรับตามสัญญานี้แล้ว ถ้าปรากฏว่าผู้ขายผิดสัญญาไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และได้มีการยกเลิกสัญญา ผู้ขายยินยอมให้ผู้ซื้อปรับอีกเป็นเงินร้อยละห้าของราคาสิ่งของทั้งหมดในสัญญาหรือตามราคาสิ่งของที่ยังขาดส่งอยู่ โดยคิดเป็นรายเดือนนับตั้งแต่วันครบกำหนดสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญา” ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาข้อ 9 นี้ กรมไปรษณีย์โทรเลขจะมีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละห้าของราคาทั้งหมดได้ต่อเมื่อผู้ขายผิดสัญญาและมีการเลิกสัญญากันเท่านั้น แต่คดีนี้โจท์มิได้บอกเลิกสัญญาและยังรับของที่จำเลยขายไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละห้าจากราคาของทั้งหมด คงมีสิทธิเรียกได้เพียงร้อยละห้าจากราคาของที่ยังค้างส่ง และต้องคิดเฉพาะชิ้นส่วนที่ยังค้างส่งเท่านั้น ไม่ใช่คิดเป็นชุดอย่างที่โจทก์กล่าวอ้างเพราะตามสัญญาข้อนี้ไม่ได้ระบุว่าถ้าเครื่องโทรพิมพ์ชุดใดขาดส่งเพียงบางชิ้นส่วน ให้ถือว่าขาดส่งทั้งชุด”

พิพากษายืน

Share