แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เจ้าของรถสองแถวคันเกิดเหตุ มิได้ปฎิเสธ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ผู้ขับรถสองแถว ขณะเจรจาเรื่องค่าเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้อ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่ารถสองแถวคันเกิดเหตุของตนและมาร่วมในการเจรจาเรื่องค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทุกครั้งที่มีการเจรจากันดุจ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของตน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างและปฎิบัติ หน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไป สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี มีข้อความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง คู่กรณีไม่ติดใจเอาความทางอาญาอีกต่อไป ดังนี้เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับเท่านั้น ส่วนข้อความยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถนั้นไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องชำระวิธีการชำระ อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก ข้อความในสำเนารายงานดังกล่าวมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิด จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างหลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ย-6804 กรุงเทพมหานคร และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวรับส่งคนโดยสาร ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ริมทาง และรถของโจทก์ไถลไปชนรถซึ่งจอดอยู่ด้านหน้า เป็นเหตุให้รถโจทก์ได้รับความเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ความจริงจำเลยที่ 2 เช่ารถจากจำเลยที่ 1 แต่ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ให้บุคคลอื่นขับรถบรรทุกคนโดยสารแทน จำเลยที่ 2 มารับมาอ้างว่าเป็นผู้ขับรถ โจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงเรื่องค่าเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ 1จึงหลุดพ้นความรับผิด ค่าเสียหายไม่สูงตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 81,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์จำเลยแล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ขับรถสองแถวคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9ง-8104 กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ริมถนนในซอยสุขสวัสดิ์ 26 ได้รับความเสียหาย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาแรกว่าจำเลยที่ 2เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และขับรถสองแถวคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างหรือไม่ จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2เช่ารถสองแถวคันเกิดเหตุอัตราค่าเช่าวันละ 100 บาท แต่กลับเบิกความว่า นายอดุลน้องชายจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่ารถสองแถวสองคันและเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 มีรายได้จากรถสองแถวสองคันรวมกันประมาณวันละ 700 ถึง 800 บาท รถสองแถวทั้งสองคันถ้าให้เช่าจะได้ค่าเช่าคันละ 100 บาท ต่อวัน ทุกครั้งที่มีการเจรจาเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ไปที่สถานีตำรวจทุกครั้ง ที่เกิดเหตุอยู่ในซอยที่เป็นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยที่ 1 เอง ทั้งจำเลยที่ 1 ก็รับว่ามีรายได้จากรถสองแถวคันเกิดเหตุกับรถสองแถวอีกคันหนึ่งรวม 700-800บาท ต่อวัน ซึ่งหากให้เช่าแล้วจะมีรายได้เพียงวันละ 200 บาท และน่าจะมีสัญญาเช่าเป็นหลักฐานมาแสดงเมื่อมีการเจรจาเรื่องค่าเสียหายต่อหน้าร้อยตำรวจตรีอุทัย เอี่ยมวิโรจน์นั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้อ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่ารถสองแถวคันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 1จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เช่ารถสองแถวคันเกิดเหตุพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรถสองแถวคันเกิดเหตุมิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ผู้ขับรถสองแถวคันดังกล่าวแต่กลับมาร่วมในการเจรจาเรื่องค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทุกครั้งที่มีการเจรจากันดุจจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของตน แสดงว่าจำเลยที่ 1ยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างและปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำด้วย
มีปัญหาต่อไปว่า ข้อความในสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับมูลระเมิดอันเป็นผลให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิดหรือไม่ ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.2 มีข้อความเพียงว่า จำเลยที่ 2ยินยอมชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง คู่กรณีตกลงไม่ติดใจเอาความในทางอาญาอีกต่อไป เห็นว่า ข้อความที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่ติดใจจะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 เพื่อพนักงานสอบสวนจะได้เปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 2 เท่านั้น ส่วนข้อความที่จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้องนั้น ไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องชำระ วิธีการชำระ อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก ข้อความในสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดแต่อย่างใด กรณีจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างหลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิดนั้น…”
พิพากษายืน.