คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8960/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประเด็นข้อพิพาทที่ผู้คัดค้านอ้างเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งจะต้องพิจารณาและชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งกรุงลอนดอน (London Court of International Arbitration) ตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้าน จึงมิใช่ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะวินิจฉัยในชั้นนี้ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาแต่เพียงพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านนำสืบตามข้อต่อสู้ว่ารับฟังไม่ได้ ทั้งที่ผู้ร้องนำสืบไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลจริงเพราะไม่แสดงหนังสือรับรองนิติบุคคลที่ส่วนราชการซึ่งกำกับดูแลออกให้เป็นพยานหลักฐานนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเรื่องความเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถของคู่สัญญาตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คู่สัญญานั้น ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 43 (1) ซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้คัดค้าน และการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบแสดงอย่างไรย่อมเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานแต่อย่างใด จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (2) หรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้คัดค้านจึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าผู้คัดค้านไม่ได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากอนุญาโตตุลาการ จึงถือว่าศาลมิได้วินิจฉัยข้อโต้แย้งทุกข้อทุกประเด็น เป็นคำพิพากษาที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้โต้แย้งไว้ในคำคัดค้าน จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นคำคัดค้าน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้ผู้คัดค้าน (1) ชำระเงินจำนวน 268,867.56 ดอลลาร์สหรัฐ (2) ชำระดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่เสนอระหว่างธนาคารในลอนดอน (LIBOR) สำหรับเงินฝากทุก 3 เดือน สำหรับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐบวกร้อยละ 2 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2539 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 9 กันยายน 2548) จำนวน 140,071.96 ดอลลาร์สหรัฐ (3) ชำระดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่เสนอระหว่างธนาคารในลอนดอน (LIBOR) สำหรับเงินฝากทุก 3 เดือน สำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐบวกร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ (4) ให้ชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุญาโตตุลาการจนถึงวันที่มีคำชี้ขาดจำนวน 7,932 ปอนด์สเตอร์ลิง และ (5) ให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการและค่าทนายความอย่างสูงแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งกรุงลอนดอน (London Court of International Arbitration) ดังนี้
(1) ให้ผู้คัดค้านชำระเงินจำนวน 268,867.56 ดอลลาร์สหรัฐ แก่ผู้ร้อง
(2) ให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน 268,867.56 ดอลลาร์สหรัฐ ตามอัตราดอกเบี้ยของ London Interbank Offer Rate (LIBOR) บวกร้อยละ 2 ต่อปี และตามอัตราที่มีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาสำหรับเงินฝากรวม 3 เดือน ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
(3) ให้ผู้คัดค้านชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการรวมทั้งสิ้น 7,932 ปอนด์สเตอร์ลิง แก่ผู้ร้อง
และให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า ในการทำสัญญาซื้อขายน้ำมันปิโตรเลียม ผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งเป็นลูกหนี้ตกลงกันทางโทรพิมพ์ทำคำเสนอขายและโทรพิมพ์ทำคำเสนอซื้อและสัญญาซื้อขายให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขทั่วไปของผู้ร้องเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซีแอนด์เอฟ ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2532 ซึ่งในข้อ 11 ของข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวกำหนดว่า ข้อพิพาทหรือข้อเรียกร้องที่เกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญานี้ รวมทั้งปัญหาการผิดสัญญาดังกล่าวจะต้องพิจารณาและชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งกรุงลอนดอน และตามโทรพิมพ์คำเสนอขาย ผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันว่า ค่าเสียเวลาเรือให้คำนวณตามอัตราสัญญาเช่าเรือแบบเหมาลำสำหรับเที่ยวเดินเรือเช่าเหมาลำ และตามการประเมิน / คำตัดสินของคณะกรรมการนายหน้าเรือขนน้ำมันของลอนดอนสำหรับเรือเช่าเหมาลำแบบมีกำหนดระยะเวลาหรือเรือที่เป็นเจ้าของโดยคำนวณตามขนาดของเรือ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าเสียเวลาเรือและค่าเคลื่อนย้ายเรือต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งกรุงลอนดอนให้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ 1 คน ขึ้นพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาทดังกล่าว อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินให้แก่ผู้ร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชอบหรือไม่ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ประการแรกว่า ผู้คัดค้านต่อสู้เป็นประเด็นว่าผู้ร้องกับผู้คัดค้านได้ตกลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน และผู้คัดค้านยอมรับมอบสินค้าที่ส่งมอบผิดระวาง และในการนำสืบของผู้คัดค้านก็ได้สืบพยานไว้ด้วย แต่ศาลมิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว หากศาลได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่ศาลมิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลที่ไม่วินิจฉัยข้อพิพาทให้ครบถ้วนทุกประเด็นเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทที่ผู้คัดค้านอ้างดังกล่าวเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งจะต้องพิจารณาและชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งกรุงลอนดอน ตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดและเงื่อนไขทั่วไปของผู้ร้องเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซีแอนด์เอฟ ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2532 จึงมิใช่ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะวินิจฉัยในชั้นนี้ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อมาว่า …ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแต่เพียงพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านนำสืบตามข้อต่อสู้ว่ารับฟังไม่ได้ ทั้งที่ผู้ร้องนำสืบไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลจริงเพราะไม่แสดงหนังสือรับรองนิติบุคคลที่ส่วนราชการซึ่งกำกับดูแลออกให้เป็นพยานหลักฐานนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเรื่องความเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถของคู่สัญญาตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คู่สัญญานั้น ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 43 (1) ซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้คัดค้าน และการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบแสดงอย่างไรย่อมเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานแต่อย่างใด จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 45 (2) หรือไม่ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านในข้อนี้จึงต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการสุดท้ายมีว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ผู้คัดค้านโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านไม่ได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากอนุญาโตตุลาการ ถือว่าศาลมิได้มีคำวินิจฉัยข้อโต้แย้งทุกข้อทุกประเด็นแห่งคดี จึงเป็นคำพิพากษาที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่า คดีนี้ในคำคัดค้านของผู้คัดค้านไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้โต้แย้งว่า ผู้คัดค้านไม่เคยได้รับสำเนาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแต่อย่างใด ที่ผู้คัดค้านนำสืบนายสมศักดิ์พยานผู้คัดค้านเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นคำคัดค้าน เมื่อไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวจึงชอบแล้ว หาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทไม่ครบทุกข้อทุกประเด็นแห่งคดี อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ให้ผู้คัดค้านใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนผู้ร้อง

Share