แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2549 จำเลยยื่นอุทธรณ์คดีทั้งสองสำนวนเป็นอุทธรณ์คนละฉบับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2549 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งเป็นใจความว่า ศาลสั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนแล้วจึงให้จำเลยทำอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกันภายใน 7 วัน ต่อมาจำเลยจึงยื่นอุทธรณ์คดีทั้งสองสำนวนมาในฉบับเดียวกันเป็นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2549 ดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงเป็นอุทธรณ์ที่จำเลยจัดทำและยื่นภายในกำหนดที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่ง ถือว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์คดีทั้งสองสำนวนภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว
การที่โจทก์ ช. และ ส. เป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลในการขายที่ดิน 1 แปลงและโจทก์กับ ส. เป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลในการขายที่ดินอีก 1 แปลง แต่เจ้าพนักงานของจำเลยส่งหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์เฉพาะที่ดินเพียงแปลงเดียวถึง ส. โดยไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าเป็นหนังสือที่ส่งถึง ส. ในฐานะบุคคลในคณะบุคคลดังเช่นที่มีการระบุในหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงต้องถือว่าเจ้าพนักงานของจำเลยต้องการขอทราบรายละเอียดการขายที่ดินจาก ส. ในฐานะส่วนตัว ทั้งไม่ได้ความว่าเจ้าพนักงานของจำเลยส่งหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์ถึงโจทก์ด้วยแต่อย่างใด หลังจากขายที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว โจทก์ไม่เคยพบกับ ส. อีก จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ ส. ไม่ไปพบเจ้าพนักงานของจำเลยตามหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเหตุให้มีผลถึงโจทก์โดยอนุมานว่า โจทก์ซึ่งเป็นบุคคล ในคณะบุคคลกับ ส. ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษีการขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวด้วยได้ ทั้งโจทก์ขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวหลังจากมีการแก้ไขประมวลรัษฎากรซึ่งเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีการค้ามาเป็นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะแทนไม่กี่เดือน ตามพฤติการณ์ของโจทก์ที่ยอมเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ยังเพียงติดใจขอลดเบี้ยปรับลงเพราะคิดว่ามีการชำระครบถ้วนขณะขายที่ดินเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีรายพิพาท กรณีจึงมีเหตุสมควรลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งจากเบี้ยปรับที่ต้องชำระตามการประเมิน
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาแก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินทั้งสองฉบับ และแก้ไขคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งสองฉบับ เป็นให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ 45,312 บาท สำหรับการขายที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 11226 บาท และให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ 353,640 บาท สำหรับการขายที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 14091 โดยให้งดเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นทั้งหมด
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้แก้ไขการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเลขที่ 2010270 /6/100208 ลงวันที่ 12 เมษายน 2545 โดยลดเบี้ยปรับที่โจทก์ต้องเสียลงเป็นจำนวน 45,312 บาท และแก้ไขการประเมินเลขที่ 2010270/6/100333 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2545 โดยลดเบี้ยปรับที่โจทก์ต้องเสียลงเป็นจำนวน 353,640 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนแรกจำนวน 2,000 บาท และสำนวนหลังจำนวน 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ก่อนที่จะพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์คดีทั้งสองสำนวนภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์หรือไม่โดยโจทก์แก้อุทธรณ์ในข้อ 1. ว่า ศาลภาษีอากรกลางควรมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเนื่องจากจำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 21 มิถุนายน 2549 ล่วงพ้นกำหนดที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้จำเลยถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ในปัญหาข้อนี้ได้ความว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2549 จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คดีสำนวนแรกเป็นอุทธรณ์ฉบับหนึ่ง และยื่นอุทธรณ์คดีสำนวนหลังเป็นอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่ง ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในอุทธรณ์ทั้งสองฉบับเป็นใจความสรุปว่า ศาลสั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนแล้วจึงให้จำเลยทำอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกันภายใน 7 วัน ต่อมาจำเลยจึงยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 21 มิถุนายน 2549 โดยนำเนื้อหาในอุทธรณ์ที่ยื่นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2549 ทั้งสองฉบับมารวมอยู่ในอุทธรณ์ฉบับเดียวที่ยื่นนั้น ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2549 จึงเป็นอุทธรณ์ที่จำเลยจัดทำและยื่นภายในข้อกำหนดที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งโดยถูกต้อง ถือได้ว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์คดีทั้งสองสำนวนภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า มีเหตุสมควรลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ นายชะโอด และนายเอกราชหรือสกลเป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลในการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11226 โจทก์และนายเอกราชหรือสกลเป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลในการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14091 และฟังได้ว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ส่งหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์ถึงนายเอกราชหรือสกลแล้วก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อความในหนังสือก็ปรากฏว่าเป็นการขอทราบรายละเอียดเฉพาะเรื่องการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14091 เพียงแปลงเดียวโดยข้อความในหนังสือดังกล่าวไม่มีการระบุโดยชัดแจ้งว่าเป็นหนังสือที่ส่งถึงนายเอกราชหรือสกลในฐานะบุคคลในคณะบุคคลดังเช่นที่มีการระบุในหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะจึงต้องถือว่าการมีหนังสือถึงนายเอกราชหรือสกลนั้น เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานของจำเลยต้องการขอทราบรายละเอียดการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14091 จากนายเอกราชหรือสกลในฐานะส่วนตัว ซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์ทั้งในทางนำสืบของจำเลยไม่ได้ความว่า เจ้าพนักงานของจำเลยได้ส่งหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11226 และ 14091 ถึงโจทก์ด้วยแต่อย่างใด ซึ่งโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่า โจทก์ไม่เคยทราบเรื่องที่มีการส่งหนังสือขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์ถึงนายเอกราชหรือสกล หลังจากขายที่ดินทั้งสองแปลงแล้วโจทก์ไม่เคยพบนายเอกราชหรือสกลอีก ดังนี้ จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่นายเอกราชหรือสกลไม่ไปพบเจ้าพนักงานของจำเลยตามหนังสือเชิญเพื่อขอทราบรายละเอียดการขายอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเหตุให้มีผลถึงโจทก์โดยอนุมานว่า โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลในคณะบุคคลกับนายเอกราชหรือสกลในการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11226 และ 14091 ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษีการขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวด้วยได้ ทั้งโจทก์ขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวหลังจากได้มีการแก้ไขประมวลรัษฎากรเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีการค้า มาเป็นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะแทนไม่กี่เดือน ตามพฤติการณ์ของโจทก์ที่ยินยอมเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ยังเพียงติดใจขอลดเบี้ยปรับลงเพราะเดิมคิดว่ามีการชำระครบถ้วนขณะขายที่ดินเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีรายพิพาท กรณีจึงมีเหตุสมควรลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งจากเบี้ยปรับที่ต้องชำระตามการประเมินดังที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัย ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ.