แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและ ป. พยานโจทก์เป็นเพียงพยานบอกเล่า การวินิจฉัยพยานหลักฐานต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลยเว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 ผู้เสียหายให้การว่าขณะเกิดเหตุจำเลยยืนอยู่บนบ้านพักชั้นสาม ส่วน ป. ให้การว่าเห็นจำเลยอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านชั้นสาม ซึ่งขัดแย้งกับภาพถ่ายบ้านจำเลยที่ไม่มีระเบียงบ้าน ผู้เสียหายให้การว่าได้ยินเสียงจำเลยร้องหลังจากเสียงปืนนัดที่สองว่า “เครียดโว้ย นอนไม่หลับ” แต่ ป. ให้การว่าเมื่อได้ยินเสียงปืนนัดแรกหันไปเห็นจำเลยถืออาวุธปืนพกจ้องมาจากหน้าต่างบ้านชั้นสามแล้วยิงอีกหนึ่งนัด จำเลยพูดว่า “จบ” ผู้เสียหายให้การว่าขณะเกิดเหตุมีแสงไฟนีออนในบ้านจำเลยเปิดสว่างมองเห็นตัว ส่วน ป. ให้การว่าบ้านจำเลยไม่เปิดไฟ และพยานโจทก์ทั้งสองตรวจดูและลงชื่อรับรองความถูกต้องในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผ่านหน้าต่างชั้นสองของบ้าน คำให้การในชั้นสวบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองขัดแย้งแตกต่างกันโดยตลอด ส่อให้เห็นถึงความไม่ยึดมั่นต่อความจริง มุ่งจะเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยมากกว่า จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นในการรับฟัง การที่ศาลจะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้น จะต้องมีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด แต่โจทก์ไม่ได้ถามค้านหรือนำสืบให้เห็นในความไม่น่าเชื่อถือในคำเบิกความของพยานว่าเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลย จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นที่รับฟังได้มาสนับสนุน จึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 288, 376 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุ นายบุญเลิศ ผู้เสียหาย เป็นหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านศุภาลัยบุรี ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ในวันและเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่บริเวณป้อมยามประตูของหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง 2 นัด ภายหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความแก่พันตำรวจโทสุขุม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ชั้นสอบสวน พันตำรวจโทสุขุมสอบปากคำผู้เสียหายและนายปราโมทย์ พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านศุภาลัยบุรีไว้ ตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาและบันทึกคำให้การของพยาน ตามลำดับ ได้ออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบลูกกระสุนปืนออโตเมติก (ทองแดงหุ้มตะกั่ว) ขนาด .38 (9 มม.) 1 ลูก บริเวณริมกำแพงจึงยึดเป็นของกลาง โดยผู้เสียหายนำชี้สถานที่เกิดเหตุตามภาพถ่าย แล้วทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ สำหรับความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์มีผู้เสียหายและนายปราโมทย์เบิกความเป็นพยานทำนองเดียวกันว่าไม่เห็นใครเป็นผู้ยิงผู้เสียหาย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายปราโมทย์ยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลมาลงโทษจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายปราโมทย์ตามบันทึกคำให้การล้วนมีความขัดแย้งกันในสาระสำคัญโดยตลอดทุกขั้นตอน ทั้งเป็นการให้การกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอย จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่า บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายปราโมทย์พยานโจทก์ทั้งสอง เป็นเพียงพยานบอกเล่า การวินิจฉัยพยานหลักฐานซึ่งเป็นพยานบอกเล่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลยเว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน เมื่อคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองมีความขัดแย้งแตกต่างกันในสาระสำคัญ กล่าวคือ ผู้เสียหายให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยยืนอยู่บนบ้านพักชั้นสามฝั่งข้างป้อมยามห่างประมาณ 20 เมตร ร้องเรียกผู้เสียหายว่า “แกละ” “จบไหม” แล้วยกอาวุธปืนยิงมาที่ตัวผู้เสียหายขณะที่ยืน 1 นัด กระสุนปืนถูกป้ายหมู่บ้านห่างผู้เสียหายประมาณ 1.5 เมตร แต่นายปราโมทย์กลับให้การว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนั่งอยู่ข้างป้อมยามตรงกลางพยานยืนใกล้ไม้กั้นทางเข้าออกหมู่บ้าน ส่วนจำเลยอยู่ตรงระเบียงอาคารด้านหน้าบ้านจำเลยชั้นสาม พยานได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น 1 นัดทางด้านหลังพยานหรือบ้านจำเลย ไม่ทราบว่ากระสุนปืนโดนอะไร แต่ภายหลังทราบว่ามีการยิงมาถูกกำแพงหมู่บ้านใกล้ป้อมยาม พยานได้ยินเสียงจำเลยพูดตรงหน้าต่างบ้านชั้นสามว่า “แกละนอนไม่หลับ” อันเป็นการให้การขัดกันในข้อสาระสำคัญโดยตลอด เป็นพิรุธ ประกอบกับนายปราโมทย์ให้การว่าเห็นจำเลยอยู่ตรงระเบียงบ้านจำเลยชั้นสามนั้นก็เป็นการขัดแย้งกับภาพถ่ายบ้านจำเลย ซึ่งไม่ปรากฏว่าบ้านจำเลยชั้นสามมีระเบียงบ้านแต่อย่างใด ย่อมเป็นการขัดต่อเหตุผล ผู้เสียหายให้การต่อไปว่ามีการยิงอาวุธปืนอีก 1 นัด หลังจากนัดแรก 5 นาที ได้ยินเสียงจำเลยร้องขึ้นว่า “เครียดโว้ยนอนไม่หลับ” กระสุนปืนทะลุอิฐบล็อกกำแพงหมู่บ้านทางที่ผู้เสียหายยืนขณะเกิดเหตุ แตกต่างจากที่นายปราโมทย์ให้การว่า ต่อมา 5 นาที มีเสียงอาวุธปืนดังมาจากบ้านจำเลย 1 นัด พยานหันไปเห็นจำเลยถืออาวุธปืนพกจ้องมาทางป้อมยามจากชั้นสามของบ้านที่เปิดหน้าต่างและมีสะเก็ดไฟออกจากอาวุธปืนตรงที่จำเลยยืน จำเลยพูดว่า “จบ” เสียงดังก่อนกลับเข้าไปในบ้าน กระสุนปืนนัดที่สองโดนป้ายสูงจากพื้นประมาณ 1.30 เมตร ใกล้กับผู้เสียหายนั่งบนรถจักรยานยนต์ประมาณ 1 เมตร คำให้การที่ไม่ลงรอยกันเช่นนี้ ทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นความจริงไปในทางใดทางหนึ่งได้ นอกจากนี้ผู้เสียหายให้การอีกว่า ขณะเกิดเหตุมีแสงไฟนีออนในบ้านจำเลยเปิดสว่างมองเห็นตัวก็ขัดกับที่นายปราโมทย์ให้การว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟจากป้อมยามที่บ้านจำเลยไม่เปิดไฟ ขณะมีแสงไฟจากอาวุธปืนหันไปมองที่หน้าต่างชั้นสามของบ้านไม่เห็นคน เมื่อเหตุเกิดในเวลากลางคืน คำให้การเกี่ยวกับเรื่องแสงสว่างที่แตกต่างกันย่อมมีข้อสงสัยว่าบริเวณที่เกิดเหตุจะมีแสงสว่างไม่พอเพียงที่จะทำให้เห็นคนร้ายชัดเจนพอจำได้ ทำให้คำให้การของพยานโจทก์ทั้งสองมีข้อพิรุธมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ที่พยานโจทก์ทั้งสองได้ตรวจดูและลงชื่อรับรองความถูกต้องกลับระบุว่า จำเลยใช้อาวุธปืนผ่านหน้าต่างชั้นสองของบ้าน เมื่อนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิเคราะห์ประกอบกับคำให้การพยานโจทก์ทั้งสองที่ขัดแย้งแตกต่างกันโดยตลอดส่อให้เห็นถึงความไม่ยึดมั่นต่อความจริง มุ่งจะเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยมากกว่า จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นในการรับฟัง การที่ศาลจะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้นจะต้องมีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดแต่โจทก์ไม่ได้ถามค้านหรือนำสืบให้เห็นในความไม่น่าเชื่อถือในคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองว่าเป็นการเบิกความบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลย จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นที่รับฟังได้มาสนับสนุน จึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1