คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8911/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 เล่นแชร์กันโดยโจทก์เป็นนายวงแชร์ เมื่อจำเลยที่ 1ประมูลแชร์ได้รับเงินไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ส่งค่าแชร์และดอกเบี้ยแก่โจทก์โจทก์ต้องชำระค่าแชร์ให้ผู้ประมูลได้แทนจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 128,500 บาทโจทก์จึงระบุยอดเงินจำนวนดังกล่าวในสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้วให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อค้ำประกันเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จากหนี้ค่าแชร์เป็นหนี้เงินกู้ หนี้ค่าแชร์ระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ ทำให้สัญญากู้ยืมเงินชอบด้วยกฎหมายมีผลบังคับโดยสมบูรณ์
ส่วนที่จำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าโจทก์หักเงินค่าแชร์ของจำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 แล้ว เป็นการอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้อย่างอื่นโดยการหักกลบลบหนี้แทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการนำสืบการใช้เงินของจำเลยทั้งสองโดยเห็นว่าต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระเงินกู้ 128,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คืนแก่โจทก์ภายในวันที่ 16 พฤศจิกายน2538 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองต่างเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 148,567 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 148,567 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า มูลหนี้ตามฟ้องมาจากการเล่นแชร์ จำเลยที่ 1 ประมูลแชร์ได้แล้วไม่ส่งต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยรวม 128,500 บาทคืนแก่โจทก์ จึงต้องยอมลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินที่ยังมิได้กรอกข้อความให้แก่โจทก์โดยไม่ได้รับเงินจำนวนนั้น จำเลยที่ 2ก็ต้องลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันที่ยังมิได้กรอกข้อความเช่นกัน แต่ต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกบังคับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แล้ว โดยโจทก์หักต้นเงินแชร์วงใหม่ ที่จำเลยที่ 2 ส่งให้โจทก์ไปแล้ว 6 งวดเป็นเงิน120,000 บาทไว้เอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 148,567 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 128,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกคำขออื่น

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าแชร์แก่โจทก์ 128,500 บาท จึงยอมทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ยอมทำสัญญาค้ำประกันชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย ป.จ.2 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า สัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ไม่บริบูรณ์เพราะมิได้มีการส่งมอบเงินกู้หรือไม่และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ป.จ.2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้ความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 เล่นแชร์กันโดยโจทก์เป็นนายวงแชร์เมื่อจำเลยที่ 1 ประมูลแชร์ได้รับเงินไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ส่งค่าแชร์และดอกเบี้ยแก่โจทก์ผู้เป็นนายวงแชร์ ทำให้โจทก์ต้องชำระค่าแชร์ให้ผู้ประมูลได้แทนจำเลยที่ 1 คิดเป็นเงินจำนวน 128,500 บาท โจทก์จึงระบุยอดเงินจำนวนดังกล่าวในสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย ป.จ.1 ให้จำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินแล้วโจทก์ให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อค้ำประกันหนี้จำนวนดังกล่าวตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ป.จ.2แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระค่าแชร์จำนวน 128,500 บาทแก่โจทก์จริง เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงเปลี่ยนจากมูลหนี้ค่าแชร์มาเป็นหนี้เงินกู้ จึงเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จากหนี้ค่าแชร์เป็นหนี้เงินกู้ ดังนั้น หนี้ค่าแชร์จึงเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคหนึ่งทำให้สัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย ป.จ.1 ชอบด้วยกฎหมายมีผลบังคับโดยสมบูรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แม้ว่าในวันทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จะมิได้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าเงินค่าแชร์ที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการส่งมอบเงินกู้แล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย ป.จ.1 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย ป.จ.1 และจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ป.จ.2 ต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อมาว่าจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย ป.จ.1 ให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 แล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1แปลงหนี้ใหม่จากมูลหนี้ค่าแชร์เป็นหนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันต่อกันในลักษณะหนี้กู้ยืมก็ตามแต่การที่จำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าโจทก์ได้หักเงินค่าแชร์ของจำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 แล้วนั้นเป็นการอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้อย่างอื่นโดยการหักกลบลบหนี้แทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคแรก กรณีมิใช่เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วมาแสดง ซึ่งต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองเมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า ฝ่ายจำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการนำสืบการใช้เงินมาแสดงจึงมิให้จำเลยทั้งสองนำพยานบุคคลเข้าสืบว่าได้ใช้เงินแก่โจทก์แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการนำสืบการใช้เงินของจำเลยทั้งสองดังกล่าว เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง และศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยประเด็นข้างต้นโดยไม่ต้องย้อนสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247 คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบโดยไม่โต้แย้งกันได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าแชร์โจทก์ต่อมาวันที่ 19 สิงหาคม 2538 โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับพิพาทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2 กำหนดชำระเงินคืนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2538 ครั้นถึงวันกำหนดชำระคืนจำเลยที่ 1ไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมให้แก่โจทก์ และในวันเดียวกันนั้น โจทก์ได้ตั้งวงแชร์ขึ้นใหม่มือละ 20,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียวเข้าร่วมเล่นด้วย ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเมื่อเล่นแชร์วงใหม่ไปได้ประมาณ 6 เดือน โจทก์ก็นำเงินค่าแชร์ของจำเลยที่ 2 ไปหักกับหนี้ของจำเลยที่ 1ตามสัญญากู้ยืม จำเลยที่ 2 จึงได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1แล้วนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 เบิกความว่าเริ่มเล่นแชร์วงใหม่วันที่ 16พฤศจิกายน 2538 เมื่อเล่นไปได้ 6 เดือน ประมาณเดือนพฤษภาคม2539 โจทก์ได้นำเงินค่าแชร์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวหักกับหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้ยืม แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมพร้อมใบตอบรับตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 โดยจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามวันที่ 8 สิงหาคม 2539 จำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งว่าได้มีการหักกลบชำระหนี้กันแล้วแต่อย่างไร ทั้งจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามติงว่า เหตุที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งหนังสือทวงถามเนื่องจากช่วงนั้นจำเลยที่ 2 ยังไม่ถูกหักเงินค่าแชร์ และจำเลยที่ 2 เบิกความว่าหลังจากที่โจทก์หักเงินค่าแชร์ของจำเลยที่ 2 ประมาณ 2 เดือน ทนายโจทก์ก็มีหนังสือไปทวงถาม จำเลยที่ 2 จึงได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1บอกว่ามาคุยกับโจทก์แล้ว หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 จึงได้รับคำฟ้องคดีนี้ตามคำเบิกความของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงต่างกับคำให้การของจำเลยทั้งสองเอง และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้หักเงินค่าแชร์ของจำเลยที่ 2ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมแทนจำเลยที่ 1 แล้วอย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้ยืมตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share