คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8897/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 228 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่อ้างว่าเป็นของลูกหนี้เพื่อขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น แต่สำหรับคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ระหว่างพิจารณา โจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม มิใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ และต้องนำทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาด จึงหาอาจนำบทบัญญัติ มาตรา 288 มาใช้บังคับไม่ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนหรือปล่อยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง หากผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิอย่างไรก็ชอบที่จะยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก และตามคำร้องของผู้ร้องมีประเด็นพิจารณาเพียงว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดหรือปล่อยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องหรือไม่ จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องหรือไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องโจทก์ กับยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึดทรัพย์หรือปล่อยทรัพย์
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องเป็นของโจทก์โดยโจทก์ซื้อทรัพย์ดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาด ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์ ทั้งกรณีเป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จำเลยออกไปจากทรัพย์สินพิพาท ผู้ร้องจึงไม่อาจยื่นคำร้องขัดทรัพย์ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นตันที่ให้ยกคำร้องโดยไม่มีการไต่สวนพยานก่อนเป็นการชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม จำเลยและบริวารไม่ยอมออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลความว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไว้แทนผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึดหรือปล่อยทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ใต่สวนพยานก่อน เห็นว่า การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้นั้นจะต้องเป็นกรณีที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่อ้างว่าเป็นของลูกหนี้เพื่อขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น แต่สำหรับคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม จึงมิใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ และต้องมีการนำทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาด จึงหาอาจนำบทบัญญัติมาตรา 288 มาใช้บังคับไม่ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนหรือปล่อยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง หากผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิอย่างไรก็ชอบที่จะยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาในทำนองว่า ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นเรื่องของการขอแสดงอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3) นั้น เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องมีประเด็นเพียงว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดหรือปล่อยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องหรือไม่ กรณีจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนก่อนจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share