แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นใกล้ชิดมาให้การต่อพนักงานสอบสวนแต่ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความในชั้นศาลเพื่อช่วยเหลือจำเลย ศาลจึงนำคำให้การของพยานโจทก์ดังกล่าวชั้นสอบสวนมาฟังประกอบข้อพิจารณาของศาลได้ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนหรือให้รับฟังแต่เฉพาะพยานที่มาเบิกความต่อศาลเท่านั้น เมื่อคำให้การชั้นสอบสวนเกิดขึ้นโดยสมัครใจของพยานโจทก์ ศาลจึงนำคำให้การพยานชั้นสอบสวนมาฟังประกอบได้
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 18 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 12 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง นายเปีย ยุทธ์กลาง ผู้ตายถูกคนร้ายใช้มีดอีโต้ฟันที่บริเวณหน้าท้องและศีรษะ มีบาดแผลหลายแห่ง แพทย์ได้ผ่าตัดรักษาและให้นอนอยู่โรงพยาบาล 13 วัน ผู้ตายจึงกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านครั้นวันที่ 25 พฤษภาคม 2525 ผู้ตายได้ถึงแก่ความตาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นตอนจำเลยทำร้ายผู้ตาย และพยานแวดล้อมไม่น่ารับฟัง ทั้งศาลเอาคำให้การชั้นสอบสวนมารับฟังลงโทษจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นใกล้ชิดมาให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสอง คือนางอมราภริยาของจำเลยและนางบุญมาเบิกความในชั้นศาลกลับเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยอันเป็นพิรุธ ศาลจึงนำคำให้การของพยานทั้งสองชั้นสอบสวนมาฟังประกอบข้อพิจารณาของศาล ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนหรือให้รับฟังแต่เฉพาะพยานที่มาเบิกความต่อศาลเท่านั้นเมื่อคำให้การชั้นสอบสวนเกิดขึ้นโดยสมัครใจของพยานทั้งสอง จึงนำคำให้การพยานชั้นสอบสวนมาฟังประกอบได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า ผู้ตายมิได้ตายเนื่องจากการถูกทำร้ายแต่ตายด้วยโรคชราตามใบมรณบัตรเอกสารหมาย ป.จ.4 (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ)นั้น เห็นว่า นายทรงยศ มยุระสาคร แพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดชัยภูมิในขณะนั้นเบิกความว่า ขณะรับตัวผู้ตายพบว่าผู้ตายได้รับบาดเจ็บจากวัตถุมีคมที่บริเวณศีรษะ บริเวณหน้าท้อง กะโหลกศีรษะแตกและสมองไหลออกมาบางส่วนที่บริเวณบาดแผลขณะมาถึงโรงพยาบาลผู้ป่วยมีอาการไม่ค่อยดี พยานได้ร่วมทำการผ่าตัดรักษาบาดแผลของผู้ป่วยและรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล 13 วัน บาดแผลหน้าท้องและศีรษะหายดีแล้ว แต่พูดไม่ได้ การรับฟังไม่รู้เรื่องเนื่องจากสมองได้รับการกระทบกระเทือนทำให้ไม่สามารถพูดโต้ตอบได้การรับฟังไม่สามารถรับรู้ได้ดังเช่นคนปกติ พยานทำรายงานชันสูตรบาดแผลไว้ตามเอกสารหมาย ป.จ.1(ศาลอาญา) พยานปากนี้ยังได้เบิกความอีกว่า ได้ให้การกับพนักงานสอบสวนว่าคนไข้จะต้องรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 45 วัน นั้น หมายความว่า กะโหลกศีรษะซึ่งได้รับบาดเจ็บแผลจะสมานเป็นปกติต้องหลัง 45 วัน ไปแล้ว หากมีการกระทบกระเทือนด้วยของแข็งที่บริเวณศีรษะภายในระยะเวลาดังกล่าวอีก ผู้ป่วยจะมีอาการบาดเจ็บมากขึ้นหรืออาจถึงแก่ความตายได้ สำหรับบาดแผลของผู้ป่วยรายนี้หากมีภาวะแทรกซ้อนอาจถึงแก่ความตายได้นั้น หมายความว่า เนื่องจากผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะหรือสมองอาจมีเลือดออกหรือติดเชื้อหรือมีโรคอื่นแทรกซ้อนอาจถึงแก่ความตายได้ ซึ่งในเรื่องนี้นางอมราและนางบุญได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2525 ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.6 (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ) ว่า นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดชัยภูมิบอกว่าสมองของผู้ตายได้รับอันตรายไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ หลังจากนำผู้ตายกลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้านตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2525 ผู้ตายก็ไม่สามารถพูดได้เลยเพียงแต่ฟังเสียงรู้เรื่องบ้างเท่านั้น ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2525 เวลาประมาณ1 นาฬิกา ผู้ตายได้ถึงแก่ความตายเนื่องจากถูกทำร้ายที่สมอง เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายยังพูดโต้เถียงกับจำเลยได้ เมื่อผู้ตายถูกทำร้ายและเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดชัยภูมิก็พูดไม่ได้เสียแล้ว การรับฟังไม่รู้เรื่องเช่น คนปกติ เมื่อกลับมารักษาตัวที่บ้านอาการก็เหมือนเช่นอยู่ที่โรงพยาบาลแสดงว่า อาการของผู้ตายยังไม่หายเป็นปกติซึ่งอาจมีเลือดออกหรือติดเชื้อ หรือมีโรคแทรกซ้อนดังที่นายทรงยศ มยุระสาครแพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดชัยภูมิเบิกความ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้ตายขณะที่ป่วยอยู่นั้นได้ไปทำงานใดอันถูกกระทบกระเทือนที่ศีรษะอีก หรือมีเหตุอื่นใดมาแทรกซ้อน การที่นางบุญเบิกความว่าผู้ตาย ตายเพราะทำงานหนัก หรือนางอมราเบิกความว่าผู้ตายตายด้วยโรคชรา เพราะเห็นว่าบาดแผลของผู้ตายหายดีแล้วจึงไม่รับฟัง เพราะนางบุญและนางอมรามิได้มีความรู้อย่างแพทย์ ใบมรณบัตรเอกสารหมาย ป.จ.4 (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ) เป็นเรื่องที่นางอมราไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลตำบลบัวใหญ่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้ว่าผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่องแม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิมการที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรงแสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายและผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่มีดอีโต้ฟันจำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
พิพากษายืน