คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีฉ้อโกงทรัพย์ซึ่งมีอัตราโทษอยู่ในอำนาจศาลแขวงนั้น แม้โจทก์จะขอให้ใช้ทรัพย์ที่ฉ้อโกงเป็นราคามากมายเท่าใด ศาลแขวงก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์แยกฟ้องคดีส่วนแพ่งจากคดีส่วนอาญาตาม ป.ม.วิ.อาญา ม. 41 นั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตาม ม. 196

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยฉ้อโกงเงิน ๓๐๐๐ บาท ของนายเสาจั๊น จึงขอให้ลงโทษและคืนทรัพย์
ศาลแขวงพระนครเหนือประทับฟ้องแต่ข้อหาส่วนอาญา ส่วนคำขอที่ให้คืนทรัพย์นั้นว่า เกินอำนาจให้แยกฟ้องตาม ป.ม.วิ.อาญา ม. ๔๑ แล้วดำเนินการพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม. ๓๐๔
โจทก์, จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งของศาลแขวงที่ให้แยกฟ้องนั้น ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์ไม่อุทธรณ์ภายในกำหนด จึงขาดอายุอุทธรณ์ ส่วนข้อเท็จจริงจึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การสั่งแยกฟ้องคดีแพ่งตาม ม. ๔๑ เป็นแต่เพียงอ้างเหตุติดขัดในเรื่องอำนาจศาลเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการชี้ขาดในประเด็นสำคัญ จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ม. ๑๙๖ และเห็นว่า ในคดีฉ้อโกงทรัพย์นั้น ป.ม.วิ.อาญา ม. ๔๓, ๔๔ อนุญาตให้พนักงานอัยยการขอเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียได้รวมไปกับคดีอาญา ศาลแขวงจึงมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาได้ จึงพิพากษาแก้ฉะเพาะเรื่องคกขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ให้ศาลแขวงพระนครเหนือพิจารณาพิพากษาคำขอโจทก์ในข้อนี้ต่อไป

Share