คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงจ้างพวกผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวอีสานให้เป็นคนงานทำหน้าที่ปลูกมันสำปะหลังและอ้อย ตัดอ้อย และดายหญ้าในไร่ของจำเลยแล้วพวกจำเลยควบคุมบังคับพวกผู้เสียหายตลอดเวลามิให้ไปไหนมาไหนโดยอิสระ กักขังให้หลับนอนในเรือนพักภายในไร่ มีกลอนและโซ่คล้องใส่กุญแจไว้ภายนอกห้องหากต้องการออกไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ต้องขออนุญาต และมียามคอยเฝ้าคุมอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำงานล่าช้าก็จะถูกตีเตะทำร้าย ทั้งถูกขู่เข็ญมิให้หลบหนี มิฉะนั้นจะถูกยิงดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 และสำหรับจำเลยที่ทำร้ายร่างกายพวกผู้เสียหายย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายรวม ๓๕ คน ให้ทำงานในไร่ตลอดเวลาไม่ให้ไปไหนมาไหนโดยเสรี เวลากลางคืนก็กักขังไว้ในเรือนพักโดยลงกลอนภายนอกกักขังไว้ ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยบางคนกับพวกยังได้เตะตีทำร้ายพวกผู้เสียหายหลายคน จนบางคนเกิดอันตรายแก่กายและบางคนไม่ถึงกับเป็นเหตุให้อันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐, ๒๙๕, ๓๙๑, ๘๓
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ ให้จำคุกคนละ ๒ ปี สำหรับจำเลยที่ ๔ มีความผิดตามมาตรา ๒๙๕ และมาตรา ๓๙๑ ด้วยแต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๑๐ กระทงหนักแต่กระทงเดียวข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ มีความเห็นแย้งว่าพยานโจทก์แตกต่างกัน ควรยกฟ้องและมีคำสั่งอนุญาตล่วงหน้าให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
จำเลยที่ ๑, ๒, ๔ และ ๕ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังแต่ให้ลงโทษจำเลยที่ ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓ จำคุก ๖ เดือน และลงโทษปรับ ๓๐๐ บาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้จ้างพวกผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวอีสานให้เป็นคนงานทำหน้าที่ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อย ตัดอ้อย และดายหญ้าในไร่ของจำเลยแล้วพวกจำเลยคอยควบคุมบังคับพวกผู้เสียหายตลอดเวลามิให้ไปไหนมาไหนโดยอิสระ กักขังให้หลับนอนในเรือนคนงานภายในไร่ เรือนคนงานไม่มีหน้าต่าง มีแต่ประตูใส่กลอนภายนอกบางคราวล่ามโซ่ใส่กุญแจภายนอกด้วย เวลาจะไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ต้องขออนุญาตและมีคนคุม เวลาทำงานก็มีพวกจำเลยถืออาวุธปืนบ้าง มีดบ้าง คอยบังคับข่มขู่ให้ทำงาน ขู่เข็ญมิให้หลบหนี มิฉะนั้นจะถูกยิงหากทำงานล่าช้าก็จะถูกตี เตะ ทำร้าย เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ และสำหรับจำเลยที่ทำร้ายร่างกายพวกผู้เสียหายย่อมต้องมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย
การที่จำเลยนำสืบว่า ผู้เสียหายหรือคนงานมีสิทธิดูโทรทัศน์หรือตามที่มีความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ ว่า เมื่อมีการทำสัญญาตกลงทำงานให้ผู้อื่นโดยได้รับสินจ้างเช่นคดีนี้เสรีภาพต้องถูกจำกัดลง คือต้องอยู่ในระเบียข้อบังคับของนายจ้าง ข้อนี้ศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่เป็นการถูกต้องทั้งหมด คือเสรีภาพอาจต้องถูกจำกัดลงบ้าง เพราะเกิดมีหน้าที่ตามสัญญาจ้างขึ้นแทนแต่ก็หาใช่ว่าต้องถึงกับถูกควบคุมตัว ห้องที่พักนอนต้องถูกใส่กลอนภายนอกหรือล่ามโซ่ใส่กุญแจจะไปถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะต้องมีคนควบคุมเช่นคดีนี้ไม่ การมีสิทธิดูโทรทัศน์ก็ดี หรือการได้รับการดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วยก็ดี ก็ไม่ทำให้การกักขังหรือควบคุมที่ปฏิบัติต่อผู้เสียหายอันเป็นผิดอยู่แล้วกลายเป็นไม่ผิดไปได้ เพราะตราบใดที่บุคคลไปไหนมาไหนไม่ได้ตามชอบใจแม้จะอยู่ดีกินดีเพียงไร ก็เรียกว่าบุคคลนั้นถูกกระทำให้ไร้อิสรภาพหรือปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ อยู่นั่นเอง
พิพากษาแก้เป็นให้บังคับคดีลงโทษจำเลยทุกคนไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share