คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ส. ได้พูดชักชวนว่าจะส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นโดยผู้เสียหายทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ180,000บาทแล้วส. พาว. สามีของจำเลยไปรับเงินค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหาย22,000บาทกับพาผู้เสียหายเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครระหว่างพักอยู่ในกรุงเทพมหานครว.ได้รับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองอีกหลายครั้งการรับเงินจากผู้เสียหายดังกล่าวจำเลยอยู่ร่วมรู้เห็นด้วยในบางครั้งและจำเลยเป็นคนพาผู้เสียหายไปติดต่อทำหนังสือเดินทางและในระหว่างที่ผู้เสียหายทั้งสองพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงเทพหานครและที่บ้านของจำเลยในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีจำเลยเป็นคนช่วยดูแลและออกค่าใช้จ่ายต่างๆให้แก่ผู้เสียหายดังนี้แม้จำเลยมิได้ร่วมไปชักชวนผู้เสียหายตั้งแต่ขณะแรกแต่พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกโดยแบ่งหน้าที่กันจัดหางานให้แก่คนงานเพื่อไปทางานที่ประเทศญี่ปุ่นโดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหางานเพื่อส่งคนงานไปทำงานในต่างประเทศและจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยกับพวกสามารถส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้อันเป็นความเท็จเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินแก่จำเลยกับพวกไปจริงจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา341,83และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา4,30,82 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 361,500 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 341 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 4, 30, 82 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานฉ้อโกงให้จำคุก 1 ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ให้จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 361,500 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานแก่คนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศ มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่ โจทก์มีนายเที่ยงผู้เสียหาย และนายจันทร์เพ็ญผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความได้ความสอดคล้องต้องกันว่า ระหว่างวันเวลาเกิดเหตุนายสุดหรือสุทธิได้พูดชักชวนว่าจะส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยผู้เสียหายทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 180,000 บาท แล้วนายสุด พานายวินิจสามีของจำเลยไปรับเงินค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหายทั้งสองคนละ 22,000 บาทกับพาผู้เสียหายทั้งสองเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ระหว่างพักอยู่ในกรุงเทมหานครนายวินิจได้รับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองอีกหลายครั้ง รวมเป็นเงินที่รับจากนายเที่ยงผู้เสียหายจำนวน181,500 บาท รับจากนายจันทร์เพ็ยผู้เสียหาย 180,000 บาทการรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองดังกล่าวจำเลยอยู่ร่วมรู้เห็นด้วยในบางครั้งและจำเลยเป็นคนพาผู้เสียหายทั้งสองไปติดต่อทำหนังสือเดินทาง และในระหว่างที่ผู้เสียหายทั้งสองพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานครและที่บ้านของจำเลยในอำเภอลำลูกกาจังหวัดปทุมธานี จำเลยเป็นคนช่วยดูแลและออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆให้แก่ผู้เสียหายทั้งสอง พยานหลักฐานของโจทก์ได้ความดังนี้โดยไม่ปรากฎว่าผู้เสียหายทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยอันจะเป็นเหตุให้น่าระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยจึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักเชื่อได้ว่าจำเลยได้กระทำการดังที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความ ดังนั้นแม้จำเลยมิได้ร่วมไปชักชวนผู้เสียหายตั้งแต่ขณะแรก แต่พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกโดยแบ่งหน้าที่กันจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหางานเพื่อส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสองว่าจำเลยกับพวกสามารถส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้ อันเป็นความเท็จเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อมอบเงินแก่จำเลยกับพวกไปรวมเป็นเงิน 361,500 บาท จริงพยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยได้กระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่ลดโทษและไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้นเห็นว่า จากทางนำสืบของจำเลยที่รับว่า จำเลยได้เข้าไปติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง สมควรให้ลดโทษให้จำเลย และจำเลยเป็นหญิงกระทำผิดในขณะอายุเพียง 22 ปี มีบุตรอายุ 5 ปีเศษอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรรอการลงโทษจำคุกเพื่อให้จำเลยมีโอกาสกลับตัวประพฤติตนเป็นคนดีต่อไปแต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำสมควรให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดกระทงแรกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 341 ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน 3,000 บาทความผิดกระทงหลังตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 4, 30, 82 ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน60,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละหนึ่งในสาม ความผิดกระทงแรกคงให้จำคุก 8 เดือน และปรับ 2,000ความผิดกระทงหลังคงให้จำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท ร่วมความผิดทั้งสองกระทงเป็นจำคุกจำเลยรวม 2 ปี 8 เดือน และปรับรวม 42,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกในความผิดแต่ละกระทงไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share