คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า จำเลยทั้งสองจะร่วมกันชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ในอัตราร้อยละสิบสองครึ่งต่อปีของเงินที่ยังค้างชำระให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยจะต้องชำระดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ทุก ๆ 6 เดือน นับแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไปดังนี้การรับผิดใช้ดอกเบี้ยต้องนับตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2524เป็นต้นไป ไม่ใช่ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้ระบุไว้เช่นนั้น จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ย คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่8 ธันวาคม 2523 ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยผิดนัดไม่ยอมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับคดียึดทรัพย์จำเลย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร้องว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 1,851,173 บาท 39 สตางค์ ส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 293,182 บาท 84 สตางค์ จำเลยก็ได้ชำระให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 295,000 บาท ตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 5 โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีเอากับจำเลยอีก ขอให้ยกคำขอของโจทก์และปล่อยทรัพย์ของจำเลย
ศาลนัดพร้อม
ในวันนัดพร้อมโจทก์แถลงว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2523 ข้อ 3 โจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปีจากต้นเงิน 1,851,173 บาท 39 สตางค์นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นเงิน 257,620 บาท 32สตางค์ ตามรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยที่โจทก์ส่งศาล ทนายจำเลยแถลงว่าในวันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยได้ตกลงกันว่าหากมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโจทก์จะลดดอกเบี้ยให้กับจำเลยโดยในคำฟ้องของโจทก์นั้นโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ18 ต่อปี หากตกลงทำยอมกันได้ โจทก์จะลดอัตราดอกเบี้ยโดยคิดเพียงร้อยละ 12.5 ต่อปีและขอคิดเอาจากจำเลยตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านั้นนับแต่วันทำสัญญายอม จำเลยต้องชำระต้นเงินที่ค้างโจทก์บางส่วนเสียก่อน แล้วจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อตกลงดังกล่าว การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยนับตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2524 จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้นัดฟังคำสั่งแล้วมีคำสั่งว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ความว่า “จำเลยทั้งสองจะร่วมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 12 ครึ่ง ต่อปีของเงินที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยจะต้องชำระดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ทุก ๆ 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป” หมายความว่าจำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม2524 เป็นต้นไป มิได้หมายความว่า ในวันดังกล่าวเป็นวันที่เริ่มคิดดอกเบี้ยจากเงินที่จำเลยค้างชำระโจทก์ตามที่จำเลยแถลง จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ย นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือวันที่ 8 ธันวาคม 2523 หรือว่ามีสิทธิคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป ดังที่จำเลยฎีกา สัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2523 ข้อ 3ความว่า “จำเลยทั้งสองจะร่วมกันชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 12 ครึ่ง ต่อปีของเงินที่ยังค้างชำระให้แก่โจทก์ทั้งหมดโดยจะต้องชำระดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ทุก ๆ 6 เดือน นับแต่วันที่ 10 ธันวาคม2524 เป็นต้นไป” ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมจำเลยต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี แต่ในสัญญาประนีประนอมยอมความให้รับผิดเพียงร้อยละ12 ครึ่ง ต่อปี แสดงว่าคู่สัญญามีความประสงค์จะผ่อนผันให้แก่กันและตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้กำหนดไว้ให้ชัดเจนว่า จะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใด จึงเป็นกรณีที่มีข้อสงสัยต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้ ดังนั้น จำเลยทั้งสองต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป เพราะหากคู่กรณีประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ก็ชอบที่จะระบุลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความว่าให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญานี้เป็นต้นไป และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า ดอกเบี้ยตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้วตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 5 ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านความข้อนี้ ดังนั้น จึงไม่มีดอกเบี้ยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้ให้แก่โจทก์ การที่โจทก์นำยึดที่ดินของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำขอของโจทก์ ให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 96 ตำบลบ้านโพชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์เสียให้โจทก์รับผิดใช้ค่าธรรมเนียมการยึดทรัยพ์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายและให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 1,500 บาท”.

Share