คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8836/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบอำนาจ เพื่อกระจายอำนาจบริหารให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารราชการแผ่นดิน และกำหนดวิธีการมอบอำนาจ โดยให้ทำเป็นหนังสือ ดังนั้น เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้แทนของกระทรวงการคลังโจทก์มีคำสั่ง มอบอำนาจให้อธิบดีกรมธนารักษ์มีอำนาจร้องทุกข์และแต่งตั้งทนายความเพื่อฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ โดยทำเป็นหนังสือ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้จึงถูกต้องตามมาตรา 38 แล้ว
ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุของโจทก์ตาม พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มาตรา 11 และเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินประเภทที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (3) ดังนั้น ที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งที่ดินพิพาทเกิน 10 ปี ฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความนั้น กรณีต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 จำเลยไม่สามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้กับโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกระทรวงในรัฐบาลขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุของโจทก์ และเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) สำหรับที่ดินพิพาท ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดินพิพาท หากจำเลยไม่รื้อถอนขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพียงแต่มอบอำนาจให้อธิบดีกรมธนารักษ์ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น มิใช่เป็นการมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนกระทรวงการคลังหรือฟ้องคดีแทน โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งที่ดินพิพาทเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์สินของแผ่นดินหรือที่ราชพัสดุ เนื่องจากนายเหิมมิได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โรงเรียนบ้านสลักได และโรงเรียนบ้านสลักไดไม่เคยเข้าถือเอาที่ดินนั้นเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียนแต่อย่างใด ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางเพ็ญศรี สุพพัตกุล โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นแปลงเดียวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๖๒๖ เป็นที่ราชพัสดุของโจทก์ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ฉบับดังกล่าว ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๘๘ นายเหิม ระดมสุข ครูใหญ่โรงเรียนบ้านสลักไดทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจากนางจัด คมคาย ในราคา ๑๕๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ. ๓๖ ต่อมาเมื่อนายเหิมถึงแก่ความตายแล้วนางอุบลได้ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ให้เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๙๙ ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เอกสารหมาย จ. ๕ (หมาย ล. ๒) วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ นางอุบลขายฝากที่ดินพิพาทไว้แก่ร้อยเอกสนั่น โหมขุนทด แล้วไม่ไถ่ถอนจนหลุดเป็นสิทธิแก่ร้อยเอกสนั่น วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๒๓ ร้อยเอกสนั่นขายที่ดินนั้นให้แก่นางเพ็ญศรี สุพพัตกุล และเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๓๑ นางเพ็ญศรีขายต่อให้แก่จำเลย ในระหว่างนั้นครูใหญ่โรงเรียนบ้านสลักไดทำหนังสือร้องเรียนต่อจังหวัดสุรินทร์ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของโรงเรียนบ้านสลักไดโดยเฉพาะ แต่ทางราชการจังหวัดสุรินทร์ยังมิได้ดำเนินการอย่างไร วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ จำเลยยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท ช่างรังวัดได้ไปรังวัดที่ดินแล้ว แต่ราชพัสดุจังหวัดสุรินทร์คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นของโรงเรียนบ้านสลักได เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์ทำการสอบสวนเปรียบเทียบแล้วมีความเห็นว่าควรออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย
คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า คำสั่งกระทรวงการคลังที่ ๑๓๒/๒๕๓๔ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๔ เป็นหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี มีผลให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓๘ บัญญัติว่า “อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการอื่นที่ผู้ดำรงตำแหน่งใดจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งใด หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องใด ถ้ากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งนั้น หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้เป็นอย่างอื่น หรือมิได้ห้ามเรื่องการมอบอำนาจไว้ ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทน ดังต่อไปนี้
(๑) …
(๒) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ปลัดกระทรวง อธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่า หรือผู้ว่าราชการจังหวัด
…”
และความในวรรคสามของมาตรานี้บัญญัติว่า “การมอบอำนาจตามมาตรานี้ให้ทำเป็นหนังสือ”
บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบอำนาจ เพื่อกระจายอำนาจบริหารให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารราชการแผ่นดิน และกำหนดวิธีการมอบอำนาจโดยให้ทำเป็นหนังสือ ดังนั้น เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้แทนของกระทรวงการคลังโจทก์มีคำสั่งฉบับดังกล่าวข้างต้น มอบอำนาจให้อธิบดีกรมธนารักษ์มีอำนาจร้องทุกข์และแต่งตั้งทนายความเพื่อฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ โดยทำเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย จ. ๑ การมอบอำนาจให้อธิบดีกรมธนารักษ์เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้จึงถูกต้องตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓๘ แล้ว อธิบดีกรมธนารักษ์ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ได้
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ราชพัสดุของโจทก์และโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน ๑๐ ปี คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความฟ้องร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นทั้งสองข้อดังกล่าวไปพร้อมกันและเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย เชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโรงเรียนบ้านสลักได เป็นที่ราชพัสดุของโจทก์ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๑ และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๓) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ดังนั้น ที่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งที่ดินพิพาทเกิน ๑๐ ปี ฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความนั้น กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๖ ที่บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” จำเลยไม่สามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้กับโจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share