คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882-899/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจำเลยที่1เป็นนิติบุคคลมีฐานะเท่ากรมในรัฐบาลเป็นหน่วยราชการมีหน้าที่พัฒนาชนบทตามนโยบายรัฐบาลมิได้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนทั่วไปเช่าซื้อการจัดสรรที่ดินจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่1การที่จำเลยที่1ตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการจัดสรรที่ดินโดยคณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทดังกล่าวก็มิใช่ส่วนราชการของจำเลยที่1การดำเนินงานของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่1การประกาศจัดสรรที่ดินก็ดีสัญญาเช่าซื้อที่ดินก็ดีใบเสร็จรับเงินก็ดีล้วนแต่ทำในนามของสวัสดิการของสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทมิได้กระทำในนามของจำเลยที่1แม้จำเลยที่1ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดินก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชนว่าเป็นผู้จัดสรรที่ดินซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรก็ตามก็ไม่มีผลให้การจัดสรรที่ดินกลายเป็นราชการของจำเลยที่1จำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ทั้ง 18 สำนวนฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีฐานะเท่ากรม มีอำนาจหน้าที่พัฒนาชนบทตามนโยบายรัฐบาลจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการของจำเลยที่ 1 และเป็นประธานกรรมการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยของสวัสดิการของจำเลยที่ 1 และมีชื่อในโฉนดที่ดินจัดสรรดังกล่าว จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทจำกัดเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการจัดสรรที่ดินจำหน่าย จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 3 ทั้งดำเนินกิจการเป็นส่วนตัวด้วยจำเลยที่ 1 ประกาศว่าประสงค์จะส่งเสริมสวัสดิการของข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานเร่งรัดพัฒนาชนบท จึงดำเนินการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัย โดยให้เช่าซื้อระยะยาว โจทก์ทั้ง 18 สำนวนได้ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อและชำระค่าเช่าซื้อตลอดมา ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม 2516จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทั้ง 18 สำนวนทราบว่า ได้โอนการจัดสรรที่ดินให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการต่อไป ให้โจทก์ทั้ง 18 สำนวนติดต่อกับจำเลยที่ 3 โจทก์ทั้ง 18 สำนวนได้ติดต่อทำสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 3 และชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ 3 ต่อไป ต่อมาจำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาไม่โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เช่าซื้อให้ทำให้ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อหากโอนไม่ได้ให้คืนเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์แต่ละคนได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย และชำระค่าเสียหายเท่าราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอัตราตารางวาละ 950 บาท ตามจำนวนที่ดินที่โจทก์แต่ละคนเช่าซื้อด้วย
จำเลยที่ 1 ให้การทำนองเดียวกันทั้ง 18 สำนวนว่า จำเลยที่1 ไม่มีวัตถุประสงค์และไม่เคยดำเนินการจัดสรรที่ดินหรือให้เช่าซื้อที่ดิน หากจำเลยที่ 2 กับพวกดำเนินการจัดสรรที่ดิน จำเลยที่ 2กับพวกก็ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว จำเลยที่ 1 มิใช่คู่สัญญาและไม่ได้รับเงินค่าเช่าซื้อจากโจทก์ สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะเพราะจำเลยที่ 1ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินที่ให้เช่าซื้อ เมื่อได้โอนหนี้กันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้โอนย่อมพ้นความรับผิด
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาทั้ง 18 สำนวน
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันทั้ง 18 สำนวนว่า จำเลยที่ 3 ถูกเชิดให้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 3 ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้โอนที่ดินและมอบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไปทั้งหมดแก่จำเลยที่ 3แล้วเท่านั้น ราคาที่ดินที่เช่าซื้อปัจจุบันราคาไม่เกินตารางวาละ650 บาท จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดสรรที่ดินให้โจทก์และผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนที่ดินแปลงที่โจทก์แต่ละคนเช่าซื้อให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินส่วนที่จำเลยตกลงให้โจทก์บางคนชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากจำเลยไม่โอนให้ก็ให้จำเลยร่วมกันชำระเงินที่โจทก์แต่ละคนได้ชำระแล้วพร้อมดอกเบี้ยและให้ใช้ค่าเสียหายตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอัตราตารางวาละ 950บาท ตามจำนวนที่ดินที่โจทก์แต่ละคนเช่าซื้อ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ทั้ง 18 สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 จัดสรรที่ดินเป็นการส่วนตัวมิได้กระทำในนามคณะกรรมการที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้น จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 รับโอนกิจการมาดำเนินการต่อไปในนามของตนเอง มิได้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ทุกสำนวน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้ง 18 สำนวน และจำเลยที่ 3 ทั้ง 18 สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย และจำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดินได้มีการประกาศจัดสรรที่ดินของสำนักงานจัดสรรที่ดินและอาคารสงเคราะห์ สวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท สำนักนายกรัฐมนตรีต่อมาได้มีการทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินและออกใบเสร็จรับเงินก็ระบุว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศดังกล่าว ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดสรรที่ดินรายนี้ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นหน่วยราชการมิได้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนทั่วไปเช่าซื้อการจัดสรรที่ดินจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นราชการของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการจัดสรรที่ดินนี้ คณะกรรมการดังกล่าวได้ดำเนินการในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ไม่ปรากฏว่าสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทเป็นส่วนราชการของจำเลยที่ 1 การดำเนินการของสวัสดิการดังกล่าวจะถือว่าเป็นราชการของจำเลยที่ 1 หาได้ไม่ การประกาศจัดสรรที่ดินก็ดี สัญญาเช่าซื้อที่ดินก็ดีใบเสร็จรับเงินก็ดี ล้วนทำในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท หาได้ทำในนามของจำเลยที่ 1 ไม่ แม้จะมีคำว่าสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทซึ่งเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็เห็นได้ว่าเป็นการแอบอิงชื่อหน่วยราชการเพื่อให้เป็นที่เชื่อถือแก่ประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดินดังกล่าวนั้นแม้จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรก็ตาม แต่ก็หามีผลถึงกับทำให้การจัดสรรที่ดินนั้นกลายเป็นราชการของจำเลยที่ 1 และมีผลให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อตามที่โจทก์ฟ้องไม่

Share